กำเนิดมนูษย์
กําเนิดมนุษย์ ในพระคัมภีร์ปฐมจินดา
อันพระอาจารย์เจ้า กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ประถมจินดาร์นี้ ตั้งแต่พรหมปะโรหิตเปนต้นมานั้น ว่าเมื่อจะตั้งแผ่นดินใหม่ ครั้งนั้น ก็ให้บังเกิด (กัลป์ ) พินาศ กล่าวคือโลกย์ ฉิบหาย ด้วยเพลิงประลัยกัลป์นั้นไหม้ฟ้า แผ่นดิน ภูเขาแลเขาพระสุเมรุ สิ้นแล้วบังเกิดฝนห่าใหญ่ ตกลงมาถึง ๗ วัน ๗ คืน แลน้ำท่วมขึ้นไปถึงชั้นพรหมปโรหิต พรหมปโรหิตจึ่งเล็งลงมาดู ก็เห็นซึ่งดอกอุบล ๕ ดอก ผุดขึ้นมาเหนือน้ำงามหาที่จะอุปมามิได้ ท้าวมหาพรหมจึ่งบอกแก่พรหมทั้งหลายว่าแผ่นดินใหม่นี้ จะบังเกิดสมเด็จพระพุทธเจ้ามาตรัส ๕ พระองค์ เพราะเห้นดอกอุบลนั้น ๕ ดอก อันนี้ก็เปนธรรมดาประเวณีวิไสย สังเกตมาทุกๆ ครั้ง ครั้นแลบังเกิดบุรพนิมิตร ขึ้นแล้ว จึ่งน้ำค้างเปือกตมก็บังเกิดตกลงมา ๗ วัน ๗ คืน แล้วก็เป็นสนับข้นเข้า ดุจดังสวะอันลอยอยู่เหนือหลังน้ำ โดยหนาได้สองแสนสี่หมื่นโยชน์ อันนี้แจ้งอยู่ในพระคัมภีร์จักรวาฬทิปนีโน้นแล้ว ในคัมภีร์ ประฐมจินดาร์นี้ พระอาจารย์ท่านยกมากล่าวไว้ พอเปนสังเขป เมื่อแผ่นดินแลเขาพระสุเมรุตั้งขึ้นแล้วนั้น พระอิศวรผู้เปนเจ้าเธออาราธนาพรหมสององค์ทรงนามว่าพรหมจารี ลงมากินง้วนดิน ครั้นกินแล้วก็ทรงครรภ์คลอดบุตรได้ ๑๒ คน อันพวกนี้เกิดด้วยครรภปะรามาศ คือว่าเอามือลูบนาภีก็มีครรภ์ เกิดบุตรแพร่หลาย ไปทั้ง ๔ ทวีป แตกเปนภาษาต่างๆกัน แต่ชมภูทวีปเรานี้เป็นกามราค สร้องเสพเมถุนสังวาศจึ่งมีครรภ์ สัตว์ที่มาปฏิสนธินั้นเปนชลามพุชะ
ลักษณะการปฏิสนธิของสัตว์โลกตามพระคัมภีร์ปฐมจินดา
1. สัตว์ที่มาปฏิสนธิเป็นตัว คือ ชลามพุชะ เช่น มนุษย์ และสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนม
2. สัตว์ที่เกิดเป็นฟองฟัก ชื่อว่า อัณฑชะ เช่น ไก่ เป็ด งู จระเข้ เต่า เป็นต้น
3.สัตว์มาปฏิสนธิด้วยเปือกตม (หมักหมม เน่าเปื่อย) ชื่อ สังเสทชะ เช่นหนอน และแมลง
4. สัตว์ที่มาปฏิสนธิเป็นอุปปาติกะ (เกิดขึ้นมาเอง) ไม่มีสิ่งใด ๆ ก็เกิดขึ้นเองได้ เช่น เทวดา และสัตว์นรก
การปฏิสนธิของมนุษย์
การปฏิสนธิของมนุษย์เกิดขึ้นจากการที่โลหิตของบิดาและมารดามาระคนกัน มิได้วิปริตกับธาตุทั้ง 4 คือ ธาตุดิน 20 ธาตุน้ำ 12 ธาตุลม 6 และธาตุไฟ 4 ประการ ที่บริบูรณ์ บังเกิดธาตุน้ำ คือ ต่อมโลหิตของมารดาบังเกิดตั้งขึ้นเป็นอนุโลมปฏิสนธิ (กล่าวคือเกิดจากธาตุทั้ง4 ที่บริบูรณ์ ของบิดาและมารดา มาปฏิสนธิกัน
อันว่ามนุษย์ทั้งหลายถือปติสนธิแล้วก็คลอดจากครรภ์มารดา ถ้าเปนสัตรีมีประเภทผิดจากบุรุษสองประการ คือต่อมเลือดประการ ๑ คือ น้ำนมสำหรับเลี้ยงบุตรประการ ๑ ครั้นอุดมรูปวัฒนาการเจริญขึ้นพร้อมแล้ว แลเมื่อจะเริ่มฤดูมานั้น ก็ให้ฝันเห็นว่ามีบุรุษมาร่วมรสสังวาศเมถุนตามชาติวิไสย จึ่งสมมุติว่าวิทยาธร อันอุดมมาลอบชมด้วยประเวณี ตั้งแต่นั้นมาก็มีฤดูให้ปรากฎแก่คนทั้งหลาย แลประโยธร คือ เต้าถันก็ตั้งขึ้นด้วย อันว่าสัตรีมีโลหิต ๕ ประการ คือโลหิตปรกติโทษ ซึ่งพระอาจารย์เจ้ายกออกมาแต่ พระคัมภีร์มหาโชตรัต โน้น เอามาสาธกลงไว้ในพระคัมภีร์พรหมปโรหิต หวังจะให้แพทย์ทั้งหลายพึงรู้ โดยนัยอันสัตว์จะมาปติสนธิในมาตุคัพโภทร นั้น ก็เพราะโลหิตฤดูบริบูรณ์ดังนี้ (โลหิตํ หทยํ ชาตํ) คือโลหิตบังเกิดมาแต่หทัยประการ ๑ เปนต้น แลบังเกิดมาแต่ดีแต่เนื้อแต่เอ็นประการ ๑ (โลหิตํ อัฏ์ฐิ ชาตํ) คือโลหิตบังเกิดมาแต่กระดูกประการหนึ่งเปนที่สุด แลโลหิตปรกติโทษ ๕ ประการนั้น ย่อมกระทำโทษนั้น ต่างๆ อันว่าลักษณโลหิตฤดูอันบังเกิดมาแต่หทัยนั้น ถ้าสัตรีผู้ใดไข้ลงมักให้ระส่ำระสายคลั่งไคล้ใหลหลงให้ขึ้งโกรธ เมื่อขณะนั้นให้ริมฝีปากเขียว ริมตาเขียว ถ้าแก้มิฟังสัตรีผู้นั้นจะตายเปนอันเที่ยง อันว่าลักษณะโลหิตฤดูอันบังเกิดมา แต่ดีแลตับนั้น ถ้าสัตรีผู้ใดไข้ลงมักให้เชื่อมให้มึนมัวเมาซบเซามิได้รู้ว่ารุ่งแลค่ำ คืนแลวัน แล้วให้นอนสดุ้งหวาดไหวเจรจาด้วยผี สมมุติว่าขวัญกินเถื่อน โทษทั้งนี้คือโลหิตกระทำเอง ถ้ารู้ไม่ถึงกำหนด ๗ วันตาย เมื่อตายแล้วจึ่งผุดขึ้นมาเปนแว่นเปนวงสีเขียว สีแดงก็มี ดุจกล่าวมานั้น อันว่าลักษณะโลหิตฤดูอันบังเกิดมาแต่เนื้อนั้น ถ้าสัตรีผู้ใดไข้ลงมักกระทำให้ร้อนใน ผิวเนื้อแลหนังแดงดัง ลูกตำลึงสุกขึ้นเปนยอดผด แล้วให้คันทั้งตัว ต่อมีฤดูมาจึ่งหายไป อันว่าลักษณะโลหิตฤดูอันบังเกิดแต่เส้นเอ็นนั้น ถ้าสัตรีผู้ใดไข้ลงมักกระทำให้เจ็บตัวทั่วสรรพางค์กาย แลให้สบัดร้อนสะท้าน หนาวแลให้จับปวดศีร์ษะเปนกำลัง ต่อมีฤดู มาจึ่งหายไป อันว่าลักษณะโลหิตฤดูอันบังเกิดมาแต่กระดูกนั้น ถ้าสัตรีผู้ใดไข้ลงมักกระทำให้เมื่อยกระดูกทุกข้อกระดูกต่อกันดังจะคลาด ให้เจ็บเอ็วเจ็บหลังนัก ต่อมีฤดูมาจึ่งหายไป ซึ่งว่ามาทั้งนี้หวังจะให้แพทย์พิจารณาดู ให้รู้ว่าโลหิตฤดูนั้นเกิดออกจากที่ใด ถ้ารู้แท้แล้วให้เร่งประกอบยาชื่อว่าพรหมภักตร์ ประจุ โลหิตเน่าโลหิตร้ายเสียให้สิ้นเชิง แล้วจึ่งแต่งยาบำรุงโลหิต อันชื่อว่ากำลังราชสีห์นั้นกินต่อไป แล้วจึ่งแต่งยาบำรุงธาตุให้ธาตุปรกติดีแล้ว โลหิตจึ่งจะงามบริบูรณ์ อันว่าสัตว์ที่มาปฏิสนธิ นั้นจึ่งได้ตั้งขึ้น ในมาตุคัพโภทรแห่งมารดาเป็นปรกติ อนึ่งสัตรีบางจำพวกมีสามี แลหาสามีมิได้ก็ดี เดิมโลหิตงามบริบูรณ์อยู่แล้ว ครั้นอยู่มาให้หน้าซีดมือเท้าก็ซีด ให้เจ็บหลังเจ็บเอว เพราะโลหิตนั้นแห้งติดกระดูกสันหลังอยู่ สมมุติว่าเป็นริดสีดวง อนึ่งสัตรีบางจำพวกนั้นโลหิตแห้งเปนก้อนเข้า เท่าฟองไก่ติดหัวเหน่าอยู่ก็ดี ติดในทรวงอกก็ดี แลกลมกลิ้งอยู่ในท้องก็ดี บางทีให้ท้องขึ้น บางทีให้ลงท้อง บางทีให้เจ็บท้อง จุกอกแดกขึ้นดังจะขาดใจตาย ถ้าแพทย์ผู้ใดจะรักษาให้พิจารณา โดยลักษณะที่กล่าวมาแต่หลังนั้น ถ้าแลมิฟังมักกลายเปนโรคริดสีดวงแห้ง ไป อนึ่งถ้าสัตรีบางจำพวก ซึ่งเปนพรหมจารี นั้น แต่รุ่นสาวควรจะมีฤดูแล้วแลฤดูนั้นก็ไม่มีมา บางจำพวกต่ออายุ ๒๐ หรือ ๓๐ ต่อมีสามีแล้วจึ่งมีฤดูมา อันว่าลักษณะหญิงเหล่านี้ ย่อมมีแต่กาลก่อนโน้น
สัตว์ทั้งหลายเมื่อจะตั้งอนุโลมปฏิสนธินั้น พร้อมด้วยบิดามารดากับธาตุทั้ง ๔ ก็บริบูรณ์พร้อมคือปถวีธาตุ ๒๐ อาโปธาตุ ๑๒ เตโชธาตุ ๔ วาโยธาตุ ๖ ระคนกันเข้าคือเกิดเพราะโลหิตบิดามารดาระคนกัน มิได้วิปริตจึ่งบังเกิดขึ้นด้วยธาตุน้ำ คือต่อมโลหิตแห่งมารดา ก็ให้บังเกิดตั้งขึ้นเปนอนุโลมปฏิสนธินั้น ในเมื่อสัตว์จะปฏิสนธินั้นท่านกล่าวไว้ว่า สุขุมังปะระมานูเลอียดนัก เปรียบด้วยขนทรายจามรีเส้น ๑ เอามาชุบน้ำมันงาที่ใส่นั้น แล้วเอามาสลัดเสียให้ได้ ๗ ครั้ง แต่ยังติดอยู่ที่ปลายขนทรายจามรี มากน้อยเท่าใด อันมูลปฏิสนธิแห่งสัตว์ทั้งหลายสุขุมเลอียดดุจนั้น แต่ตั้งขึ้นในครรภ์มารดาแล้วละลายไปได้วันละ ๗ ครั้ง กว่าจะตั้งขึ้นได้เปนอันยากนัก ครั้นโลหิตตั้งขึ้นได้แล้วอยู่ ๗ วัน ก็บังเกิดเปนปฐมกะละละ นั้นเรียกว่าไชยเภท คือมีฤดูล้างหน้าที ๑ ถ้ามิดังนั้นก็ให้มารดาฝันเห็นวิปริต ก็รู้ว่าครรภ์ตั้ง แลครรภ์ตั้งขึ้นแล้วมิได้วิปริต ครบ ๗ วันก็ขันเข้าดังน้ำล้างเนื้อ เมื่อไปอีก ๗ วันเปนชิ้นเนื้อ ไปอีก ๗ วันเปนสัณฐานดังไข่งู ไปอีก ๗ วันก็แตกออกเปนปัญจสาขา ๕ แห่ง คือ ศีร์ษะ ๑ มือ ๒ เท้า ๒ จึ่งเปน ๕ ไปอีก ๗ วันก็เกิด เกสา โลมา นขา ทัน์ตา ลำดับกันไปดังนี้ ในขณะเมื่อครรภ์ตั้งขึ้นได้เดือนหนึ่งกับ ๑๒ วันนั้น โลหิตจึ่งบังเกิดเวียนเข้าเปนตานกยูงที่หัวใจเปนเครื่องรับดวงจิตรวิญญาณ ถ้าหญิงเวียนซ้าย ถ้าชายเวียนขวา แต่มิได้ปรากฎออกมา ครั้นเมื่อครรภ์ถ้วนไตรมาศ แล้วโลหิตนั้นก็แตกออกไปตามปัญจสาขา เมื่อได้ ๔ เดือนจึ่งตั้งอาการ ๓๒ นั้น จึ่งบังเกิดตาแลหน้าผาก ก่อนสิ่งทั้งปวงจึ่งบังเกิดเปนอันดับกันไป เมื่อครรภ์ได้ ๕ เดือน จึ่งมีจิตรแลเบ็ญจขันธ์ พร้อมรูปัก์ขัน์โธ เมื่อตั้งเปนรูปขันธ์ เข้าแล้ว วิญ์ญาณัก์ขัน์โธก็ให้มีวิญญาณขันธ์ รู้จักร้อนแลเย็น ถ้าแลมารดาบริโภคอาหารที่เผ็ดร้อนเข้าไปเมื่อใด ก็ให้ร้อนทุรนทุราย ดิ้นเสือกไปมาเวทนาก์ขัน์โธ เวทนาขันธ์ ก็บังเกิดขึ้นตามกัน คือ ที่อยู่ในท้องของมารดานั้นลำบากทนทุกขเวทนาดุจสัตว์ในนรก คือ นั่งยองกอดเข่าเอากำมือไว้ใต้คาง ผินหน้าเข้าสู่กระดูกสันหลังของมารดาผินหลังออกข้างนาภี เหมือนดังลูกวานรอันนั่งอยู่ในโพรงไม้นั้น นั่งทับกระเพาะอาหารเก่า อาหารใหม่ตั้งอยู่บนศีร์ษะ แลน้ำอาหารนั้นก็เกรอะ ทราบ ลงไปทางกระหม่อม เพราะว่าทารกอยู่ในครรภ์นั้นกระหม่อมเปิด ครั้นมารดาบริโภคสิ่งอันใดที่ควรเข้าไปได้แล้วก็ซึมทราบออกจากกระเพาะเข้าก็ เลื่อนลงไปในกระหม่อม ก็ได้รับประทานอาหารของมารดาก็ชุ่มชื่นชูกำลังเปนปรกติ ถ้ามารดามิได้บริโภคอาหารแลรสอาหารมิได้ทราบลงไป ทารกนั้นก็มิได้รับรสอาหาร จึ่งทุรนทุรายกระวนกระวายระส่ำระสายดิ้นรนต่างๆอันนี้ ก็มีแจ้งอยู่ในพระคัมภีร์จตุราริยสัจ โน้นแล้ว ในคัมภีร์ปฐมจินดาร์นี้ พระอาจารย์เจ้าท่านกล่าวไว้พอเปนในความแต่พึงรู้แพทย์ทั้งหลายจะได้ สงเคราะห์ซึ่งโรคนั้นหนึ่งโสดเมื่อสัตว์จะปฏิสนธิในครรภ์มารดานั้นกล่าวนิ มิตร์ว่า ถ้ามารดาอยากมัจฉะมังษา เนื้อปลาแลสิ่งของ เปนสิ่งอันคาว ท่านว่าสัตว์นรกมาปฏิสนธิ ถ้าแลมารดาอยากสิ่งอันเปรี้ยวแลขม ท่านว่ามาแต่ป่าหิมพานต์ มาปฏิสนธิ ถ้าแลมารดาอยากน้ำผึ้งน้ำอ้อยน้ำตาล ท่านว่ามาแต่สวรรค์ลงมาเอากำเนิดเปนมนุษย์ ถ้าแลมารดาอยากสรรพผลไม้ทั้งปวง ท่านว่ามาแต่ติรัจฉาน มาปฏิสนธิ ถ้าแลมารดาอยากกินดิน ท่านว่ามาแต่พรหม ลงมาปฏิสนธิ ถ้าแลมารดาอยากกินสิ่งที่เผ็ดแลร้อน ท่านว่ามาแต่มนุษย์มาปฏิสนธิ เมื่อมารดาอยากของดังกล่าวมานี้ก็เปนธรรมดาโลกยวิไสย อันจะให้ทารกอยู่ในครรภ์นั้นบังเกิดโรคแลพยาธิต่างๆ ข้อหนึ่งเมื่อกุมารกุมารีนั้นเจริญพร้อมด้วยอินทรีย์แลเบ็ญจขันธ์แล้ว อาการ ๓๒ ก็บริบูรณ์ด้วย เมื่อเบ็ญจขันธ์แลอินทรีย์ อาการ ๓๒ พร้อมบริบูรณ์แล้วเมื่อใด จิตรจึ่งคิดว่ามารดาของอาตมนี้ประกอบไปด้วยความกรุณา อุส่าห์บำรุงรักษาอาตมนี้ก็มีคุณหาที่สุดมิได้ เมื่อใดอาตมจะได้ออกไปจากครรภ์มารดา อาตมจะได้แทนคุณมารดาของอาตม อันนี้ก็เปนธรรมดาประเพณีแห่งพระบรมโพธิสัตว์แต่ปางก่อนโน้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น