ทฤษฎีการแพทย์แผนไทย (อ่านประกอบหลักสูตรผู้ช่วยแพทย์แผนไทย สาขานวดไทย 372ชั่วโมง สำหรับคนตาบอด

 ทฤษฎีการแพทย์แผนไทย

สมัยพุทธกาล การแพทย์พุทธาราม และท่านอาจารย์ชีวกโกมารภัจจ์ หรือ หมอชีวกโกมารภัจจ์ เป็นบุตรของนางสาลวดี (สาละวะดี) นครโสเภณีประจำเมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ ในสมัยนั้นตำแหน่งนี้มีเกียรติยศต่างจากในสมัยนี้ นางสาลวดีตั้งครรภ์ โดยบังเอิญ เมื่อคลอดบุตรชายออกมาจึงสั่งให้สาวใช้ 

นำไปทิ้ง แต่ อภัยราชกุมาร พระราชโอรสของพระเจ้าพิมพิสารไปพบเข้า จึงนำมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม

 ชีวะกะ แปลว่า ยังมีชีวิตอยู่ 

 โกมารภัจจ์(โก-มา-ระ-พัด) แปลว่า กุมารที่ได้รับการเลี้ยงดู หรือ กุมารในราชสำนัก หมายถึง บุตรบุญธรรม

 ชีวกโกมารภัจจ์ จึงหมายถึง บุตรบุญธรรมที่ยังมีชีวิตอยู่

 ชีวกโกมารภัจจ์ได้ไปเรียนศิลปะวิทยาที่ เมืองตักสิลา สำนักทิศาปาติโมกข์ (ทิศาปาติโมกข์ แปลว่า อาจารย์ผู้มีความรู้และชื่อเสียงโด่งดัง.) แต่เนื่องจากไม่มีค่าเล่าเรียน จึงอาสารับใช้พระอาจารย์ เมื่อเรียนอยู่ถึง 7 ปี จึงจบการศึกษา

หลังจากกลับมาถึงแคว้นมคธแล้ว ได้รักษาพระเจ้าพิมพิสารให้หายขาด จาก โรคภคันทลาพาธ (ภะคันทะลาพาธ หมายความถึง โรคริดสีดวงทวาร) และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแพทย์ประจำพระองค์ของพระเจ้าพิมพิสาร และได้รับพระราชทานสวนมะม่วง แต่ต่อมาหมอชีวกก็ได้ถวายสวนนี้ ให้พระพุทธเจ้า และพระสาวกทั้งหลาย และได้ถวายตัวเป็น แพทย์ประจำ พระองค์ อีกด้วย ด้วยความที่เป็นคนบำเพ็ญแต่สิ่งที่ดีงาม ช่วยเหลือผู้เจ็บป่วย ไม่เลือกฐานะ จึงได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นเอตทัคคะ ในด้าน เป็นที่รักของปวงชน

การแพทย์แผนไทย คือสิ่งเดียวกันกับการแพทย์อินเดียใช่ไหม?....การแพทย์ในสมัยพุทธกาล หรือกาลแพทย์ในพุทธาราม เป็นการแพทย์ที่ท่านอาจารย์ชีวกโกมารภัจจ์ได้ทำการประจักษ์แล้วว่าใช้ได้จริง โดยการพิสูจน์กับการรักษาคนไข้ในยุคนั้น และผ่านการประจักษ์ตัวยหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อผ่านยุคสมัยพุทธกาลมาแล้ว  การเข้ามาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในดินแดนสุวรรณภูมิได้นำเอาวิชาการแพทย์ในพุทธารามเข้ามาเผยแพร่ด้วยจึงเกิดการผสมประสานกับการแพทย์ดั่งเดิมประจำถิ่นและมีการวิวัฒนาการมาเป็นการแพทย์แผนไทยอย่างที่เข้าใจจากยุคอณาจักรขอมจนถึงยุคกรุงรัตนโกสินทร์

1ยุคอณาจักรขอม

การแพทย์แผนไทยเข้าสู่ดินแดนสุวรรณในยุคอณาจักรขอมเรืองอำนาจ ในสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 หลักฐานที่ปรากฏ คืออโรคยาศาล หรืออะโรคะยะศาลา (พระปรางค์ –กู่-ปราสาท)

อโรคยศาลค้นพบในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย มีจำนวน ๒๓  แห่ง คือ

๑.ปรางค์กู่ บ้านหนองบัว ตำบลในเมือง จังหวัดชัยภูมิ

๒.ปรางค์กู่ บ้านหนองแผก ตำบลบ้านเต่า อำเภอบ้านแท่น จังหวัดชัยภูมิ

๓.ปราสาทสระกำแพงน้อย วัดบ้านทับกลาง ตำบลขะยูง อำเภออุทมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ

๔.ปราสาทบ้านสมอ ตำบลบ้านสมอ อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ

๕.ปราสาทบ้านปราสาท ตำบลกระเทียม อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์

๖.ปราสาทจอมพระ ตำบลจอมพระ อำเภอจอมพระ จังหวัดสุรินทร์

๗.ปราสาทช่างปี่ บ้านช้างปี่ ตำบลช่างปี่ อำเภอศรีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์

๘.ปราสาทตาเมือนโต๊จ ตำบลบักได อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์

๙.ธาตุสมเด็จนางพญา ตำบลหนองโสน อำเภอบุณฑริก จังหวัดอุบลราชธานี

๑๐.กู่ฤๅษี ตำบลจรเข้มาก อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์

๑๑.กู่ฤๅษี บ้านกู่ฤๅษี ตำบลทองหลางอำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์

๑๒.ปราสาทบ้านโคกงิ้ว ตำบลปะคำกิ่งอำเภอปะคำ จังหวัดบุรีรัมย์

๑๓.ปราสาทหนองกู่ บ้านหนองกู่ ตำบลมะอึก อำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด

๑๔.กู่โนนระฆัง ตำบลเกษตรวิสัย อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด

๑๕.กุฏิ ฤๅษี ตำบลประตูชัย อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา

๑๖.ปราสาทนางรำ ตำบลนางรำ อำเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมา

๑๗.ปรางค์ครบุรี บ้านครบุรี ตำบลครบุรี อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา

๑๘.เมืองเก่า บ้านเมืองเก่า ตำบลโคราช อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา

๑๙.ปรางค์บ้านปรางค์ ตำบลหินดาด อำเภอห้วยแกลง จังหวัดนครราชสีมา

๒๐.ปรางค์วัดกู่แก้ว จังหวัดขอนแก่น

๒๑.ปรางค์กู่บ้านเขวา ตำบลเขวา อำเภอเมืองฯ จังหวัดมหาสารคาม

๒๒.กู่สันตรัตน์ จังหวัดมหาสารคาม

๒๓.ปราสาทบ้านพันนา อ. สว่างแดนดิน จ. สกลนคร

อโรคยาศาลในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ มีการดูแลอย่างเป็นระบบ มีจำนวนอโรคยาศาล 102 แห่ง มีแพทย์ผู้ทรงความรู้ในอายุรเวทและอัสดรเวท ประจำอยู่ทำการรักษาโรคโดยการใช้สมุนไพร ส่วนพนักงานเจ้าหน้าที่ในแต่ละแห่งมีจำนวนมากน้อยต่างกันไป ได้พบจารึกในอโรคยาศาลบางแห่งกล่าวว่า มีพนักงานอยู่ประจำถึง ๙๘ คน ประกอบด้วยผู้ดูแล ๔ คน แพทย์ ๒ คน ผู้ช่วยแพทย์เป็นผู้ชาย ๒ คน ผู้หญิง ๔ คน เป็นต้นการบริหารงานในโรงพยาบาล ประกอบด้วยฝ่ายต่างๆ ดังนี้

 ผู้ดูแลทรัพย์ จ่ายยา รับข้าวเปลือกและฟืน ใช้บุรุษ ๒ คน

 ผู้หุงต้ม ทำความสะอาด จ่ายน้ำ หาดอกไม้และหญ้าบูชายัญ ใช้บุรุษ ๒ คน

 ผู้จัดพลีทาน ทำบัตร จ่ายบัตรสลากและหาฟืนเพื่อต้มยา ใช้บุรุษ ๒ คน

 ผู้ดูแลโรงพยาบาลและส่งยาให้แก่แพทย์เป็นบุรุษ ๑๔ คน

 ผู้โม่หรือบดยาที่สันดาปด้วยน้ำเป็นสตรี ๖ คน

 ผู้ทำหน้าที่ตำข้าวเปลือก ๒ คน

2ยุคสุโขทัย

ศิลาจารึกกรุงสุโขทัยหลักที่ ๑ ซึ่งจารึกไว้ว่า “เบื้องหัวนอนเมืองสุโขทัยนี้ มีกุฎี พิหาร ปู่ครู อยู่ มีสรีดภงส์ (ทำนบกั้นน้ำโบราณ) มีป่าพร้าว ป่าลาง มีป่าม่วง ป่าขาม มีน้ำโคก มีพระขพุงผี เทวดาในเขาอันนั้น เป็นใหญ่กว่าทุกผีในเมืองนี้ ขุนผู้ใดถือเมืองสุโขทัยนี้แล้ ไหว้ดีพลีถูก เมืองนี้เที่ยง เมืองนี้ดี ผิไหว้บ่ถูก พลีบ่ถูก ผีในเขาอันบ่คุ้ม บ่เกรง เมืองนี้หาย แสดงให้เห็นว่าบริเวณนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มีผีคอยปกปักรักษาเมือง และมีการเล่าขานกันมาว่าพระร่วงเจ้าผู้มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ได้กล่าวให้สถานที่นี้เป็นแหล่งสมุนไพรสำหรับรักษาชาวบ้าน ในสมัยก่อนเรียกป่านี้ว่า "ป่าเขาหลวง" หรือ “เขาสรรพยา”  ปัจจุบันตั้งอยู่ในอำเภอคิรีมาศ อำเภอบ้านด่าน และอำเภอลานหอย จังหวัดสุโขทัย  ป่าของอุทยานแห่งชาติรามคำแหงมี ประกอบด้วยป่า 5 ชนิดผสมกันได้แก่ ป่าเต็งรัง ป่าดิบเขา ป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณ และป่าทุ่งหญ้า ทำให้มีความหลากหลายของพันธุ์พืชมาก  จัดเป็นแหล่งรวมสมุนไพรตามธรรมชาติที่มากที่สุดแหล่งหนึ่งของประเทศ และมีการขุดพบหินบดยาสมัยทราวดี(ซึ่งเป็นยุคก่อนยุคสุโขทัย)


3ยุคอยุธยา

การแพทย์แผนไทยในยุคนี้ได้รับอิทธิพลจากการแพทย์ของอินเดียที่เรียกว่า อายุรเวท ซึ่งเป็นการแพทย์แผนโบราณของอินเดียเป็นสำคัญ มีคัมภีร์แพทย์ที่กล่าวกันว่าหมอชีวกโกมารภัจจ์ ที่เป็นแพทย์ ประจำตัวของพระ พุทธเจ้าเป็นผู้แต่ง  ซึ่งมีเป้าหมายที่สภาวะสมดุลของธาตุ 4 อันเป็นองค์ประกอบของชีวิตผู้ที่จะเป็นแพทย์ได้ต้องมีวัตรปฏิบัติที่งดงามในทุกด้าน มีความกตัญญูรู้คุณครูบาอาจารย์ และนับถือว่าครูดั้งเดิมคือพระฤาษี ( อายุระเวท แปลว่า หมอรักษาโรคทางยา)

3.1สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พบว่า มีหมอหลวงในราชสำนัก จากทำเนียบศักดินา ใน "กฎหมายตราสามดวง" ที่ตราขึ้นใน พ.ศ. ๑๙๙๘ มีการระบุศักดินาของข้าราชการพลเรือน ที่ปฏิบัติงานด้านการแพทย์ในตำแหน่งต่างๆ ตามลำดับ โดยแบ่งเป็นกรมต่างๆ หลายกรม เช่น กรมแพทยา กรมหมอยา กรมหมอกุมาร กรมหมอนวด กรมหมอยาตา กรมหมอวรรณโรค โรงพระโอสถ แต่ละกรมมีเจ้ากรม และตำแหน่งข้าราชการระดับอื่นๆ ที่มีศักดินาลดหลั่นกันไป ดังปรากฏอยู่ในข้อความนี้

"…ออกญาแพทยพงษาวิสุทธาธิบดี อะไภยพิรียบรากรมพาหุ จางวางแพทยาโรงพระโอสถ นา ๒๐๐๐ พระศรีมโหสถ ราชแพทยาธิบดีศรีองครักษ เจ้ากรมแพทยาหน้า นา ๑๖๐๐ เจ้ากรมหมอนวด ซ้าย ขวา หลวงราชรักษา หลวงราโช นา ๑๖๐๐ ออกพระสิทธิสาร เจ้ากรมหมอยาซ้าย นา ๑๔๐๐…"

ทั้งนี้ ตำแหน่ง "ออกญาแพทยพงษาวิสุทธาธิบดี อะไภยพิรียบรากรมพาหุ จางวางแพทยาโรงพระโอสถ" ซึ่งเป็นผู้กำกับดูแลโรงพระโอสถ เป็นผู้ที่ถือศักดินาสูงสุดในบรรดาข้าราชการฝ่ายหมอหลวง แสดงให้เห็นบทบาทสำคัญ ของแพทย์ปรุงยา ซึ่งทำหน้าที่ทั้งเสาะหา รวบรวม และดูแลรักษาเครื่องยาสมุนไพรต่างๆ รวมทั้งการปรุงยาหลวง และประสานงานกับหมอในกรมอื่นๆ นอกจากนี้กรมหมอนวดก็เป็นกรมที่มีความสำคัญด้วย เนื่องจาก "การนวด" เป็นการบำบัดโรคพื้นฐานในสมัยนั้น และเป็นกรมหมอที่ใหญ่อันดับ2 ในสมัยนั้น

3.2สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พบบันทึกว่า มีระบบการจัดหายาที่ชัดเจน สำหรับประชาชนจะมีแหล่งจำหน่ายยาและสมุนไพรหลายแห่งทั้งในและนอกกำแพงเมือง  มีตำรับยาซึ่งถือได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์การแพทย์แผนไทย ชื่อว่า “ตำราพระโอสถพระนารายณ์” เป็นการรวบรวมตำรับยาที่หมอในราชสำนักปรุงถวายพระมหากษัตริย์ในยุคนั้น มีการอธิบายสมุฏฐานแห่งโรคตามหลักทฤษฎีธาตุทั้งสี่ โดยกล่าวอ้างอิงถึงคัมภีร์มหาโชติรัตน์และคัมภีร์โรคนิทานซึ่งถือกันว่าเป็นคัมภีร์แพทย์ที่สืบทอดมาแต่โบราณกาล ในตำราพระโอสถพระนารายณ์ยังระบุว่า หมอในราชสำนักที่ปรุงยาถวายพระมหากษัตริย์มีทั้งสิ้น 9 คน เป็นหมอสยาม 5 คน ที่เหลือเป็นหมอจีน 1 คน หมอแขก 1 คน และหมอฝรั่ง 2 คน โดยในจำนวนนี้เป็นหมอหลวงที่รับราชการ 7 คนและหมอที่มิได้รับราชการ 2 คน 

4ยุครัตนโกสินทร์

 สมัยรัชกาลที่  1 ได้ทรงปฏิสังขรณ์วัดโพธารามหรือวัดโพธิ์เป็นพระอารามหลวงโดยให้ชื่อว่า วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม  ทรงให้รวบรวมและจารึกตำรายาและฤาษีดัดตน ตำรานวดแผนไทยไว้ตามศาลาราย มีการจัดตั้งกรมหมอโรงพระโอสถ ผู้รับราชการเรียกว่า “หมอหลวง” ซึ่งเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการดูแลพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ หมอหลวงแบ่งเป็นฝ่ายในและฝ่ายนอก หมอหลวงฝ่ายใน มีหน้าที่ดูแลพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ที่อยู่ในพระบรมมหาราชวังตลอดจนข้าราชบริพารผู้ที่เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย หมอหลวงฝ่ายนอกมีหน้าที่ดูแลพระบรมวงศานุวงศ์ซึ่งไม่ได้อยู่ในพระบรมมหาราชวังชั้นใน

รัชกาลที่ 2 ทรงตรากฎหมายชื่อว่า กฎหมายพนักงานพระโอสถถวาย  กฎหมายฉบับนี้จะเห็นว่ารัชกาลที่ ๒ ทรงให้ความสำคัญกับการปรุงยามากโดยจัดเป็นศิลปะและศาสตร์ชั้นสูง ผู้ที่ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยในตำแหน่งเจ้าพนักงานพระโอสถ ซึ่งมีหน้าที่ปรุงยา ต้องมีทั้งความซื่อสัตย์ ความละเอียดถี่ถ้วนและต้องปรุงยาสม่ำเสมอ เป็นหน้าที่ที่ต้องมีความรับผิดชอบสูง ดังนั้นการศึกษาเพื่อเข้ารับราชการเป็นพนักงานพระโอสถจึงน่าที่จะจำกัดอยู่ในวงศ์ตระกูลที่สืบเป็นมรดกตกทอดกันมาเท่านั้น ในด้านการดูแลรักษาสุขภาพ

เมื่อครั้งรัชกาลที่ ๓ ขณะทรงพระอิสริยยศเป็นพระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ได้ทรงปฏิสังขรณ์วัดจอมทอง เป็นพระอารามหลวง ได้รับพระราชทานนามว่า วัดราชโอรสาราม จารึกตำรายา ตำราหมอนวด รูปปั้นฤๅษีดัดตนไว้ในกำแพงแก้วของพระวิหารและพระอุโบสถด้วย มีการแยกแพทย์ไทยเป็ น ๒ ประเภท คือ หมอหลวง และ หมอเชลยศักดิ์

หมอหลวง คือ หมอที่เชี่ยวชาญเป็นพิเศษ รับราชการสังกัดอยู่ในกรมราชแพทย์ จึงเป็นข้าราชการที่มีศักดินา ได้รับพระราชทานเบี้ยหวัดเงินปี ทำหน้าที่รักษาพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ บุคคลต่างๆ ในราชสำนักและรักษาตามพระบรมราชโองการของพระมหากษัตริย์ การศึกษาของหมอหลวงจะเป็นระบบและน่าเชื่อถือ เพราะผู้ที่จะเข้ารับราชการเป็นหมอหลวงนั้นต้องได้รับการฝึกฝนตั้งแต่เด็กๆให้คุ้นเคยกับการรักษาพยาบาลแล้วจะได้

เลื่อนขั้นเป็นผู้ช่วยแพทย์ติดตามหมอหลวงไปทำการรักษาจนมีความชำนาญในการตรวจ ผสมยา เมื่อโตขึ้นก็มีความรู้ พร้อมที่จะเข้ารับราชการได้ เมื่อมีตำแหน่งว่างในกรมหมอหลวงก็จะได้รับการบรรจุเข้าทำงานทันที

หมอเชลยศักดิ์ คือ หมอที่ไม่ได้รับราชการ ประกอบอาชีพอิสระฝึกฝนเล่าเรียนจากบรรพบุรุษที่ เป็นหมออยู่ก่อน หรือศึกษาจากตำราแล้วทดลองฝึกหัดจนมีความชำนาญ โดยส่วนใหญ่แล้วจะใช้ทฤษฎีแพทย์แผนไทย เช่นเดียวกับหมอหลวง หมอเชลยศักดิ์สว่นใหญ่

จะเป็นหมอที่มี ชื่อเสียงและมีลูกศิษย์มากทั้ง ฆราวาสและพระสงฆ์โดยทั่วไป หมอเชลยศักดิ์มักจะเป็นผู้ชาย (ยกเว้นหมอตำแยที่มักจะเป็นหญิงสูงอายุ) ทำหน้าที่ทั้งหมอเวชและหมอยา กล่าวคือ เมื่อตรวจไข้ และวินิจฉัยโรคแล้วหมอคนเดียวกันนี้จะทำการปรุงยารักษาด้วย

รัชกาลที่ 3 จัดตั้งโรงเรียนแพทย์แผนโบราณแห่งแรก คือ โรงเรียนแพทย์แผนโบราณวัดโพธิ์ ทรงจารึกตำราการแพทย์ไว้ตามผนังพระอุโบสถ ศาลาราย เสา และตำราวิหารคต ของวัดโพธิ์ ทรงให้ปั้นฤาษีดัดตน ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้รวบรวมเลือกสรรตำรับตำราต่างๆ ซึ่งสมควรจะเล่าเรียนเป็นชั้นวิสามัญศึกษามาตรวจตราแก้ไขใช้ของเดิมบ้างหรือประชุมผู้รู้หลักในวิชานั้นๆ แล้วโปรดฯ ให้จารึกแผ่นศิลาประดับไว้ในบริเวณวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม มีรูปเขียน

และรูปปั้นประกอบตำรานั้นๆ เพื่อคนทั้งหลายไม่เลือกว่าตระกูลชั้นใดๆ มีใจรักวิชาอย่างใดก็สามารถเล่าเรียนได้จากศิลาจารึกที่วัดพระเชตุพน ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สืบเสาะหาตำรายาที่่ศักดิ์สิทธิ์ ตำราลักษณะโรคทั้งปวงตาม พระราชาคณะ ข้า ราชการ ตลอดจนราษฎรมาจารึกในแผ่นศิลา โดยผู้ถวายตำรายาต้องสาบานว่า ยาขนานนั้นตนได้มามีสรรพคุณดี แล้วให้พระยาบำเรอราชแพทย์ตรวจอีกทีก่อนนำไปจารึก กล่าวได้ว่า วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เป็นเสมือนมหาวิทยาลัยเปิดทางด้านการแพทย์แผน ไทยแห่งแรกของประเทศไทย โดยประสงค์ให้ความรู้วิชาแพทย์แผนไทยเผยแพร่สู่สาธารณชนในวงกว้าง จารึกวัดโพธิ์

แบ่งเป็น ๔ หมวดใหญ่ๆ ดังนี้ คือ วิชาฤๅษีดัดตน เวชศาสตร์ เภสัชศาสตร์ และแผนนวด เฉพาะวิชาฤๅษีดัดตนโปรดเกล้าฯ ให้ช่างหล่อรูปปั้นขึ้นด้วยสังกะสีผสมดีบุก นอกจากนี้พระองค์ยังโปรดฯพระราชทานพระราชนิพนธ์คำโคลงฤๅษีดัดตน ๔ บท และยังให้ข้าราชการและพระเถระแต่งโคลงฤๅษีดัดตนกำกับทุกรูปรวมทั้งสิ้น ๘๐ ท่า เสร็จสิ้นในปีพ.ศ. ๒๓๗๙ และต่อมาโปรดเกล้าฯ ให้คัดลอกท่าฤๅษีดัดตนลงสมุดไทย เมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๑

ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ว่ามีข้าราชการในฝ่ายพระราชวังบวรสถานมงคลของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือ ข้าราชการฝ่ายวังหน้า ที่เกี่ยวกับการแพทย์ ได้แก่ ข้าราชการในกรมหมอ กรมหมอยา กรมหมอนวด กรมหมอกุมาร กรมหมอยาตา หมอฝรั่ง ดังนี้ ๑. ..หัวหน้าหมอหลวง.

พระยาประเสริฐศาสตร์ธำรง จางวาง

พระยาประสิทธิวิทยา จางวาง

พระศรีมโหสถ เจ้ากรมแพทยาหน้า

พระศรีศักดิราช เจ้ากรมแพทยาหลัง

หลวงรัตนแพทยา ปลัดจางวาง

หลวงประเทศแพทยา ปลัดจางวาง

หลวงจินดาโอสถ เจ้ากรม

๒. .....กรมหมอยา.......

หลวงทิพรักษา เจ้ากรม

หลวงวิเศษโอสถ เจ้ากรม

ขุนราชโอสถ ปลัดกรม

ขุนประเสริฐโอสถ ปลัดกรม

ขุนเทวโอสถ ปลัดกรม

ขุนเทพโอสถ ปลัดกรม

ขุนอุดมโอสถ ปลัดกรม

ขุนมณีโอสถ ปลัดกรม

๓. ...กรมหมอตา.......

พระวรวงศ์รักษา จางวาง

หลวงสัมพาหแพทย์ ปลัดจางวาง

หลวงสัมพาหภักดี ปลัดจางวาง

หลวงประสาทวิจิตร เจ้ากรมซ้าย

หลวงประสิทธิหัตถา เจ้ากรมขวา

ขุนวาตาพินาศ ปลัดกรมขวา

ขุนศรีสัมพาห ปลัดกรมซ้าย

เป็นต้น ในรัชกาลที่ ๔ เริ่มมีการตั้งหมอฝรั่งเป็นหมอหลวงในราชสำนักมีบรรดาศักดิ์อย่างเป็นทางการเหมือนสมัยกรุงศรีอยุธยาอีกครั้ง

 รัชกาลที่ 5 ทรงจัดตั้งศิริราชพยาบาล มีการสอนและบริการทั้งการแพทย์แผนโบราณและแผนตะวันตกร่วมกัน มีการพิมพ์ตำราขึ้นเป็นครั้งแรก คือ แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ ฉบับหลวง 2 เล่ม (พระยาพิษณุประสาทเวช(คง)) ต่อมามีการเรียบเรียง ปรับปรุงและจัดพิมพ์เป็นคู่มือแพทย์และพยาบาล ชื่อว่า เวชศึกษา หรือแพทย์ศาสตร์สังเขป 3 เล่ม พระประสิทธิ์วิทยา(หนู)เป็นแพทย์ประจำ ราชสำนักวังหลวงเป็นที่ปรึกษาฯเป็นแพทยใ์หญ่ฝ่ายไทย กรมพยาบาล

 รัชกาลที่ 6 มีการประกาศใช้ พระราชบัญญัติการแพทย์ พ.ศ. 2466ถือว่าเป็นช่วงตกต่ำของวงการแพทย์แผนไทย หรือการแพทย์แผนโบราณ มีการแก้ไขปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาของแพทย์ มีการยกเลิกการเรียนวิชาการแพทย์ไทย โดยให้เหตุผลว่า การสอนวิชา การแพทย์ตามแบบไทยนั้นไม่เข้ากับแบบฝรั่ง

พระยาแพทยพงศาพิสุทธาธิบดี(สุ่น สุนทรเวช) ซึ่งเป็นแพทย์พระจำพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖

 รัชกาลที่ 7 มีการตรากฏหมายเสนาบดี แบ่งการแพทย์เป็นแผนปัจจุบัน และแผนโบราณ

ประเภทแผนปัจจุบัน คือ ผู้ประกอบโรคศิลปะ โดยความรู้จากตำราอันเป็นหลักวิชาโดยสากลนิยม ซึ่งดำเนินและจำเริญขึ้น อาศัยการศึกษา ตรวจค้น และทดลองของผู้รู้ ในทางวิทยาศาสตร์ทั่วโลก

 ประเภทแผนโบราณ คือ ผู้ประกอบโรคศิลปะ โดยอาศัยความสังเกตความชำนาญ อันได้บอกเล่าสืบต่อกันมาเป็นที่ตั้ง หรืออาศัยตำราที่มีมาแต่โบราณ มิได้ดำเนินไปทางวิทยาศาสตร์

 รัชกาลที่ 9 มีการจัดตั้งสมาคม และได้ก่อตั้ง โรงเรียนอายุรเวชวิทยาลัย ศึกษาการแพทย์แผนโบราณประยุกต์

ในปี พ.ศ. 2498 สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณสมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณณสิริ) ได้ก่อตั้งโรงเรียนแพทย์แผนโบราณขึ้น เพื่อเป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ด้านการแพทย์แผนโบราณ มีการสอนทั้งวิชาเภสัชกรรม, เวชกรรม และการผดุงครรภ์ไทย และการนวดแผนโบราณ ตามกระแสรับสั่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

 

ปีพ.ศ. 2542 มีการประกาศ พ.ร.บ.การประกอบโรคศิลปะ พ.ศ.2542 ที่มีการแก้ไขสาระสำคัญหลายประการที่เอื้อต่อการพัฒนาการแพทย์แผนไทยมากขึ้น เช่น เปลี่ยนชื่อการประกอบโรคศิลปะแผนโบราณเป็นการแพทย์แผนไทย

 

ในปีพ.ศ. 2524 ศ.นพ.อวย เกตุสิงห์ ได้ก่อตั้งอายุรเวทวิทยาลัยขึ้น เพื่อผลิตแพทย์แผนโบราณรุ่นใหม่ โดยสอนความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพควบคู่ไปกับวิชาการแพทย์แผนโบราณ สอนทั้งเวชกรรม เภสัชกรรม การผดุงครรภ์ และการนวดแบบราชสำนัก ซึ่งหลักสูตรใช้เวลาศึกษา 3 ปี และแพทย์แผนไทยประยุกต์ที่เรียนจบหลักสูตรนี้สามารถสอบใบประกอบโรคศิลปะได้

 

พ.ศ. 2528 ถือได้ว่าเป็นจุดเปลื่ยนของวงการแพทย์แผนไทย   จากการที่กลุ่มศึกษาปัญหายา มูลนิธิสาธารณสุขกับการพัฒนา มูลนิธิหมอชาวบ้าน คณะกรรมการประสานงานองค์กรเอกชนเพื่อการสาธารณสุขมูลฐาน ร่วมกับ สมาคมแพทย์แผนโบราณต่าง ๆ ได้จัดสัมมนาฟื้นฟูการนวดไทยเป็นครั้งแรก และได้ก่อตั้ง โครงการฟื้นฟูการนวดไทย เพื่อทำกิจกรรมรณรงค์เผยแพร่การนวดไทยแก่ประชาชนให้สามารถนำไปใช้เพื่อทดแทนการใช้ยาแก้ปวดเกินจำเป็น เสริมศักยภาพของหมอนวดไทยจากสำนักต่าง ๆ รวมทั้งหมอนวดอิสระ โครงการนี้มีส่วนทำให้มีการใช้การนวดไทยแพร่หลายมากขึ้นในหมู่ประชาชนและมีการนำการนวดไทยไปใช้ในสถานบริการสาธารณสุขของรัฐในเวลาต่อมา  ประกอบกับกระทรวงสาธารณสุข ได้จัดทำโครงการสมุนไพรกับการสาธารณสุขมูลฐาน โดยความร่วมมือของประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐ เยอรมัน เน้นการทดลองใช้ สมุนไพร 5 ชนิดในคลินิกของโรงพยาบาลชุมชน 5 แห่ง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในการใช้ยาสมุนไพรและยาแผนไทยในสถานบริการสาธารณสุขของรัฐในเวลาต่อมาด้วยเช่นกัน

พ.ศ.2556 ประกาศใช้พ.ร.บ.วิชาชีพการแพทย์แผนไทย 

ปัจจุบันการแพทย์แผนไทยได้แบ่งออกเป็น 4 สาขา คือ

1.สาขาเวชกรรมไทย เป็นการตรวจ การวินิจฉัยโรค เพื่อหาสาเหตุของการเกิดโรคตามแนวทางของการแพทย์แผนไทย จากนั้นจึงทำการบำบัดหรือรักษา หรือป้องกันด้วยกรรมวิธีการแพทย์แผนไทย

2.สาขาเภสัชกรรมไทย เป็นการเตรียมยา การผลิตยาแผนไทย ด้วยกรรมวิธีการแพทย์แผนไทย

3.สาขาผดุงครรภ์ไทย เป็นการดูแลสุขภาพของมารดาและเด็กในครรภ์ ตั้งแต่ก่อนคลอด การทำคลอด พร้อมทั้งการดูแลและส่งเสริมสุขภาพมารดาและเด็กในระยะหลังคลอด แต่ในปัจจุบันหน้าที่ในการทำคลอดแบบแผนไทยมีน้อยลง แต่จะเน้นในการดูแลสุขภาพของ มารดาหลังคลอดมากขึ้น

4.สาขาการนวดไทย เป็นทั้งศาสตร์และศิลปะ ที่มีมาตั้งแต่โบราณกาล เกิดขึ้นจากสัญชาตญาณเบื้องต้นของการอยู่รอด เมื่อมีอาการปวดเมื่อยหรือเจ็บป่วย ตนเองหรือญาติมิตรมักจะบีบนวดบริเวณดังกล่าวนั้น ทำให้อาการปวดเมื่อยคลายลง  ในครั้งแรกๆ เป็นไปโดยมิได้ตั้งใจ ต่อมาเริ่มสังเกตเห็นผลของการบีบนวดในบางจุดหรือบางวิธีที่ได้ผล จึงเก็บไว้เป็นประสบการณ์และกลายเป็นความรู้ที่สืบทอดกันต่อๆ มา การนวดไทยปัจจุบัน มีทั้งการนวดเพื่อการรักษาอาการเจ็บป่วย การนวดเพื่อสุขภาพ และการนวดเพื่อเสริมสวย ในบางคนอาจจะมีการใช้ยาสมุนไพรควบคู่ไปด้วยก็มี เช่น ให้รับประทานยาสมุนไพร หรือในระหว่างการนวดอาจจะมีการประคบด้วยลูกประคบสมุนไพรด้วยก็ได้

จรรยาของแพทย์แผนไทย

– มีเมตตาจิตแก่คนไข้

– ไม่เห็นแก่ลาภ

– ไม่เป็นคนโอ้อวด

– ไม่ปิดบังความเขลาของตนไว้

– ไม่ปิดบังความดีของผู้อื่น

– ไม่หวงกันลาภผู้อื่น

– ไม่ลุอำนาจแก่อคติทั้ง 4

– ไม่หวั่นไหวด้วยโลกธรรม

– มีหิริโอตัปปะ

– ไม่เป็นคนเกียจคร้านและมักง่าย

– มีโยนิโสมนสิการ ตริตรองในใจโดยแยบคาย

– ไม่เป็นคนมีสันดานอันประกอบด้วยความมัวเมา

หลักการของการแพทย์แผนไทย

ตามหลักการของการแพทย์แผนไทยนั้น ร่างกายของเราประกอบด้วย ธาตุทั้ง 4 คือ ธาตุดิน น้ำ ลม และไฟ การเสียสมดุลของธาตุตามการเปลี่ยนแปลงของกาลเวลา ฤดูกาล ภูมิประเทศ และพฤติกรรม จะทำให้เกิดโรค ซึ่งเป็นพื้นฐานของการหาสาเหตุของการเกิดโรคและการดูแลรักษาสุขภาพ

กิจของแพทย์ 4ประการ

หมอที่จะเป็นผู้รู้ผู้ชํานาญในการรักษาโรคและไข้ นั้นต้องรู้กิจ 4 ประการเป็นเบื้ องต้นเสียก่อน  1รู้ที่ตั้ง ที่แรกเกิดของโรค  2รู้จักชื่อของโรคที่เกิดขึ้น   3รู้จักยาสําหรับรักษาโรค   4รู้ว่ายาอย่างใดควรจะแก้โรคอย่างใด

รู้จักที่ตั้งแรกเกิดของโรค

ที่ตั้งแรกเกิดของโรคนั้น ได้แก่ สมุฏฐาน แปลว่า ที่ตั้งแรกเกิดของโรคภัยไข้เจ็บ จะบังเกิดขึ้น ก็เพราะสมุฏฐานเป็นที่ตั้ง สมุฏฐานจำแนกออกเป็น 4 ประการ คือ

  1. ธาตุสมุฏฐาน
  2. อุตุสมุฏฐาน
  3. อายุสมุฏฐาน
  4. กาลสมุฏฐาน

1 ธาตุสมุฏฐาน

ธาตุสมุฏฐาน คือ ที่ตั้งของธาตุ 4  แบ่งเป็น 4 กอง คือ

 ปถวีธาตุสมุฏฐาน หรือธาตุดิน มี 20 อย่าง

 อาโปธาตุสมุฏฐาน หรือธาตุน้ำ มี 12 อย่าง

 วาโยธาตุสมุฏฐาน หรือธาตุลม มี 6 อย่าง

 เตโชธาตุสมุฏฐาน หรือธาตุไฟ มี 4 อย่าง

 จึงรวมเป็นธาตุสมุฏฐาน 42อย่าง หรือจะเรียกธาตุสมุฏฐานทั้ง4ว่า ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ

ปถวีธาตุ 20 อย่าง คือ

1. เกศา คือ ผม ที่เป็นเส้นงอกอยู่บนศีรษะ

2. โลมา คือ ขน เป็นเส้นงอกอยู่ทั่วร่างกาย เช่นขนคิ้ว หนวด เครา และขนอ่อนตามตัว เป็นต้น

3. นขา คือ เล็บ ที่งอกอยู่ตามปลายนิ้วมือและปลายนิ้วเท้า

4. ทันตา คือ ฟัน ฟันอย่าง 1 เขี้ยวอย่าง 1 กรามอย่าง 1 รวมเรียกว่าฟัน เป็นฟันน้ำนม ผลัดหนึ่งมี 20 ซี่ เป็นฟันแก่ผลัด 1 มี 32 ซี่

5. ตะโจ คือ หนัง ตามตำราเข้าใจว่าหมายถึงที่หุ้มกายภายนอก ซึ่งมี 3 ชั้น คือ หนังหนา หนังชั้นกลาง หนังกำพร้า แต่ที่จริงหนังในปาก เป็นหนังเปียกอีกชนิดหนึ่งควรนับเข้าด้วย

6. มังสัง คือ เนื้อที่เป็นกล้าม และเป็นแผ่นในกายทั่วไป

7. นะหารู คือ เส้น และเอ็นในกายทั่วไป

8. อัฏฐิ คือ กระดูก กระดูกอ่อน อย่าง 1 กระดูกแข็งอย่าง 1

9. อัฏฐิมิญชัง คือ เยื่อในกระดูก แต่ที่จริงควรเรียกว่าไข เพราะเป็นน้ำมันส่วนเยื่อนั้นมีหุ้ม อยู่นอกกระดูก

10. วักกัง คือ ม้าม ตั้งอยู่ข้างกระเพาะอาหาร ตั้งอยู่ทางด้านซ้าย

11. หทะยัง คือ หัวใจอยู่ในทรวงอก สำหรับสูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงร่างกาย ตั้งอยู่ทางด้านซ้าย

12. ยกะนัง คือ ตับ ตับอ่อนอย่าง 1 และตับแก่อย่าง 1 ซึ่งตั้งอยู่ชายโครงด้านขวา

13. กิโลมะกัง คือ พังผืด เป็นเนื้อยืดหดได้ มีอยู่ทั่วร่างกาย

14. ปิหกัง คือ ไต มีอยู่ 2 ไต ติดกระดูกสันหลังบริเวณบั้นเอวขวา และซ้าย สำหรับขับปัสสาวะ

15. ปัปผาสัง คือ ปอด มีอยู่ในทรวงอกขวา และซ้าย สำหรับหายใจ

16. อันตัง คือ ลำไส้ใหญ่ เข้าใจว่านับทั้ง 2 ตอนๆ บนรวมกระเพาะอาหาร เข้าด้วยกับตอนล่างที่ ต่อจากลำไส้ไปหาทวารหนักอีกตอนหนึ่ง

17. อันตะคุณัง คือ ลำไส้น้อย ลำไส้เล็กที่ขดต่อจากกระเพาะอาหารไปต่อกับไส้ใหญ่ตอนล่าง

18. อุทริยัง คือ อาหารใหม่ อาหารที่อยู่เพียงลำไส้ใหญ่ตอนบน (ในกระเพาะอาหาร) และในลำไส้เล็ก

19. กะรีสัง คือ อาหารเก่า กากอาหารที่ตกจากลำไส้เล็กมาอยู่ในลำไส้ใหญ่ตอนล่าง และตกไปทวารหนัก

20. มัตถะเก มัตถะลุงคัง คือ สมอง และมันสมอง ซึ่งเป็นก้อนอยู่ในศีรษะ ต่อเนื่องลามตลอดกระดูกสันหลังติดกับเส้นประสาททั่วไป

อาโปธาตุ 12 อย่าง คือ

1. ปิตตัง คือ น้ำดี แยกเป็น 2 อย่าง คือ
     -พัทธปิตตะ (น้ำดีในฝัก) ตั้งอยู่ที่ซอกตับ
    - อพัทธปิตตะ (น้ำดีนอกฝัก) น้ำดีที่ตกลงในลำไส้

2. เสมหัง คือ น้ำเสลด แยกเป็น 3 คือ 
 - ศอเสมหะ (น้ำเสลดในลำคอ)  
 - อุระเสมหะ (น้ำเสลดในทรวงอก)   
 - คูถเสมหะ (น้ำเสลดในลำไส้ใหญ่ตอนล่างทางทวารหนัก) ออกจากทางอุจจาระ เป็นต้น

3 ปุพโพ คือ น้ำเหลือง-หนอง ที่ออกตามแผลต่างๆ เกิดขึ้นเพราะมีเหตุช้ำชอก และเป็นแผลเป็นต้น

4. โลหิตัง คือ เลือด โลหิตแดงอย่าง 1 โลหิตดำอย่าง 1

5. เสโท คือ เหงื่อ น้ำเหงื่อที่ตามกายทั่วไป

6. เมโท คือ มันข้น เป็นเนื้อมันสีขาวออกเหลืองอ่อนมีในร่างกายทั่วไป

7. อัสสุ คือ น้ำตา น้ำใสๆ ที่ออกจากตาทั้ง 2 ข้าง

8. วสา คือ มันเหลว หยดน้ำมัน และน้ำเหลืองในร่างกายทั่วไป

9. เขโฬ คือ น้ำลาย น้ำลายในปาก

10. สิงฆานิกา คือ น้ำมูก เป็นน้ำใสๆ ที่ออกทางจมูก

11. ละสิกา คือ ไขข้อ น้ำมันที่อยู่ในข้อทั่วๆไป

12. มุตตัง คือ น้ำปัสสาวะ น้ำที่ออกมาจากกระเพาะปัสสาวะ


  วาโยธาตุ 6 อย่าง คือ

1. อุทธังคมาวาตา คือ ลมสำหรับพัดขึ้นเบื้องบนตั้งแต่ปลายเท้าตลอดศีรษะ บางท่านกล่าว่าตั้งแต่กระเพาะอาหารถึงลำคอ ได้แก่ เรอ เป็นต้น

2. อุโธคมาวาตา คือ ลมสำหรับลงเบื้องล่างพัดตั้งแต่ศีรษะตลอดถึงปลายเท้า บางท่านกล่าวว่าตั้งแต่ลำไส้น้อยถึงทวารหนัก ได้แก่ ผายลม เป็นต้น 

3. กุจฉิสยาวาตา คือ ลมสำหรับพัดอยู่ในท้องแต่นอกลำไส้

4. โกฎฐาสยาวาตา คือ ลมสำหรับพัดในลำไส้ และในกระเพาะอาหาร

5. อังคะมังคานุสารีวาตา คือ ลมสำหรับพัดทั่วร่างกาย ( ปัจจุบันเรียกว่า โลหิต แต่ก่อนเรียกว่าลม)

6. อัสสาสะปัสสาสะวาตา คือ ลมสำหรับหายใจเข้าออก


เตโชธาตุ 4 อย่าง คือ

1. สันตัปปัคคี คือ ไฟสำหรับอุ่นกาย ซึ่งทำให้ตัวเราอุ่นเป็นปกติอยู่

2. ปริทัยหัคคี คือ ไฟสำหรับร้อนระส่ำระสาย ซึ่งทำให้เราต้องอาบน้ำ และพัดวี

3. ชิรณัคคี คือ ไฟสำหรับเผาให้แก่คร่ำคร่า ซึ่งทำให้ร่างกายเราเหี่ยวแห้ง ทรุดโทรม ทุพพลภาพไป

4. ปริณามัคคี คือ ไฟสำหรับย่อยอาหาร ซึ่งทำให้อาหารที่เรากลืนลงไปนั้น แหลกละเอียดไป

นอกจากนี้การรู้จักที่ตั้งที่เกิดแห่งโรค ตามอาการของธาตุทั้ง 4 กับตัวยาสำหรับแก้โรค ยังมีแจ้งอยู่ในคัมภีร์โรคนิทาน จึงกล่าวแต่ชื่อธาตุทั้ง 4 ไว้พอสังเขปเท่านั้น

        อนึ่งธาตุ 42 อย่าง ที่เป็นหัวหน้ามักจะพิการบ่อยๆ ไม่ค่อยจะเว้นตัวตน ย่อธาตุ 42 อย่าง เป็นสมุฏฐานธาตุ 3 กอง ดังนี้

1.    ปิตตะสมุฏฐานาอาพาธา คือ อาพาธด้วยดี

2.    เสมหะสมุฏฐานาอาพาธา  คือ อาพาธด้วยเสลด

3.    วาตะสมุฏฐานาอาพาธา  คือ าพาธด้วยลม

        เมื่อสมุฏฐานทิ้ง 3 ประชุมกันเข้าเรียกว่า สันนิปาติกาพาธ อาพาธด้วยโทษประชุมกัน 
ชื่อว่า สันนิบาต สมุฏฐานทั้ง 3 กองนี้ มักจะ พิการเสมอไปไม่ใคร่จะขาด ถ้าฤดูผันแปรวิปริตไปเมื่อใด สมุฏฐานทั้ง 3 กองนี้ก็พิการไปเมื่อนั้น จะได้กล่าวถึง ธาตุพิการ ต่อไปในข้างหน้า


        2อุตุสมุฏฐาน แปลว่า ฤดูเป็นที่ตั้ง

ฤดูนี้เป็นของมีอยู่สำหรับโลก ในปี 1 
ย่อมแปรไปตามปกติของเดือน วัน 
โลกได้สมมุติกัน สืบมาโดยกาลนิยม
ตราบเท่าทุกวันนี้ อาการที่ฤดูแปรไปนี้
ย่อมให้เกิดไข้เจ็บได้ ตามที่ท่านกล่าวว่า 
อุตุปรินามชาอาพาธา  ไข้เจ็บเกิดเพราะฤดูแปรไป 
ฉะนั้นจึงจัดเอาฤดูเข้าเป็นสมุฏฐานของโรค 
ดังจะกล่าวต่อไปนี้

          ฤดูในคัมภีร์แพทย์ศาสตร์ 
ท่านแบ่งออกเป็น 3 อย่าง คือ 
แบ่งเป็น ฤดู 3 อย่างหนึ่ง 
แบ่งเป็น ฤดู 4 อย่างหนึ่ง 
แบ่งเป็น ฤดู 6 อย่างหนึ่ง

   

            ฤดู 3  

ท่านจัดเป็นสมุฏฐานของโรค 
ในที่นี้จะแบ่งฤดู 3 คือ ปี 1 แบ่งออกเป็น
 3 ฤดูๆ หนึ่งมี 4 เดือน ดังนี้ คือ

 

1.2.2 กิจของแพทย์แผนไทย : รู้จักที่ตั้งที่แรกเกิดของโรค – กองอุตุสมุฏฐาน กองอายุสมุฏฐาน กองกาละสมุฏฐาน กองประเทศสมุฏฐาน

– กองอุตุสมุฏฐาน เป็นกิจของแพทย์แผนไทยเกี่ยวกับการรู้จักที่ตั้งที่เป็นที่แรกเกิดของโรคในกองที่ 2 แบ่งเป็น 3 หมวด คือ

o ฤดู 3 แบ่งเป็น คิมหันต์ (สมุฏฐานเตโชพิกัดสันตัปปัคคี) วสันต์ (สมุฏฐานวาโยพิกัดกุจฉิสยาวาตา) เหมันต์ (สมุฏฐานอาโปพิกัดเสมหะโลหิต

o การเปลี่ยนแปลงฤดู แบ่งเป็น

 ฤดูที่ 1 (ขึ้น 1 ค่ำเดือน 5 ถึงสิ้นเดือน 7) เป็นสมุฏฐานเตโชธาตุ

 ฤดูที่ 2 (ขึ้น 1 ค่ำเดือน 8 ถึงสิ้นเดือน 10) เป็นสมุฏฐานวาโยธาตุ

 ฤดูที่ 3 (ขึ้น 1 ค่ำเดือน 11 ถึงสิ้นเดือน 1) เป็นสมุฏฐานอาโปธาตุ

 ฤดูที่ 4 (ขึ้น 1 ค่ำเดือน 2 ถึงสิ้นเดือน 4) เป็นสมุฏฐานปถวีธาตุ

o ฤดู 6 แบ่งเป็น

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนวดไทยบำบัด(นวดรักษา) 14โรค เอกสารจัดทำเพื่อผู้พิการทางสายตาเพื่อการอ่านโดยใช้แอพพลิเคชั่นเสียง

การนวดพื้นฐาน 95ท่า หนังสือผ่านแอพพิเคชั่นเสียงสำหรับผู้พิการทางสายตา

ความพร้อมกับการสอบปฏิบัตินวดไทยสิบสี่อาการ กลุ่มอาการที่สี่