อนาโตมี่
ผิวหนังเป็นเนื้อเยื่อห่อหุ้มร่างกายที่อยู่ชั้นนอกสุด โดยผิวหนังของผู้ใหญ่มีเนื้อที่ประมาณ 3,000
ตารางนิ้ว มีความหนา 1 – 4 มิลลิเมตร ภายในชั้นผิวหนังมีปลายประสาทรับความรู้สึกจำนวนมาก
เพื่อรับรู้การสัมผัส การกด ความเจ็บ และอุณหภูมิร้อนเย็น และหน้าที่สำคัญ ๆ
อีกหลายอย่าง
โครงสร้างของผิวหนัง
ผิวหนังแบ่งตามโครงสร้างออกได้เป็น 3
ชั้นคือ ชั้นหนังกำพร้า ชั้นหนังแท้ และชั้นเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง
ผิวหนังชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) เป็นผิวหนังที่อยู่ชั้นบนสุด
คลุมอยู่บนหนังแท้ มีความหนาตั้งแต่ 0.05 ถึง 5 มิลลิเมตร
บริเวณที่บางสุดคือรอบดวงตา บริเวณที่หนาสุดคือฝ่าเท้า
หนังกำพร้าประกอบด้วยเซลล์เรียงซ้อนกันเป็นชั้นบาง ๆ อีก 5 ชั้นย่อย
โดยเซลล์ชั้นในจะเลื่อนตัวดันเซลล์ชั้นบนหรือชั้นนอกสุด ให้หลุดเป็นขี้ไคลออกไป
ผิวหนังชั้นนี้ไม่มีหลอดเลือด เส้นประสาทรวมถึงต่อมต่าง ๆ
หากผิวหนังชั้นนี้ได้รับอันตราย เราจะไม่รู้สึกแต่อย่างใด
ทั้งนี้หนังกำพร้าจะเป็นทางผ่านของรูเหงื่อ เส้นขนและไขมัน ชั้นนี้จะมีเซลล์เม็ดสี
(Melanin) โดยมีปริมาณมากน้อยแตกต่างกันในแต่ละคน
ผิวหนังชั้นหนังแท้ (Dermis) เป็นผิวหนังที่อยู่ชั้นล่างถัดจากชั้นหนังกำพร้า
มี 2 ชั้นย่อย ผิวหนังชั้นนี้ประกอบด้วยเนื้อเยื่อคอลลาเจน (Collagen) อีลาสติน
(Elastin) และตัวประสานเนื้อเยื่อไฮยารูรอน (Hyaluronic
acid) ทำให้ผิวหนังมีความแข็งแรง
และมีความยืดหยุ่นโดยมีหลอดเลือดฝอย ปลายประสาทรับความรู้สึก
ระบบประสาทอัตโนมัติควบคุมการทำงานของต่อมไขมัน ต่อมเหงื่อ และรากขน/ผม
กระจายอยู่ทั่วไปในชั้นหนังแท้
ผิวหนังชั้นใต้ผิวหนัง (Subcutis) อยู่ในสุดของชั้นผิวหนัง
ประกอบด้วยไขมัน คอลลาเจน หลอดเลือดที่มาหล่อเลี้ยง
ความหนาของชั้นใต้ผิวหนังจะแตกต่างกันไปตามอวัยวะ และเพศ
ผิวหนังชั้นนี้ช่วยในการรับแรงกระแทก เป็นฉนวนกันอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง
และยึดเหนี่ยวระบบผิวหนังไว้กับร่างกาย
หน้าที่ของผิวหนัง
ป้องกันและปกปิดอวัยวะภายในไม่ให้ได้รับอันตราย
ป้องกันเชื้อโรคไม่ให้เข้าสู่ร่างกายได้โดยตรง
ป้องกันไม่ให้น้ำภายนอกซึมเข้าไปในร่างกาย
และน้ำในร่างกายระเหยออกไป
ขับเหงื่อซึ่งเป็นของเสียออกจากร่างกาย
ทางต่อมเหงื่อ
ช่วยรักษาอุณหภูมิของร่างกายให้คงที่
ผ่านทางหลอดเลือดฝอยและการระเหยของเหงื่อ
รับความรู้สึกสัมผัส เช่น ร้อน หนาว เจ็บ
เป็นต้น
ช่วงสร้างวิตามินดีให้แก่ร่างกาย
โดยแสงแดดจะเปลี่ยนไขมันที่ผิวหนังให้เป็นวิตามินดีได้
ส่วนของผิวหนังที่เปลี่ยนรูปแบบ
เล็บ พัฒนามาจากหนังกำพร้า
เป็นแผ่นแข็งยืดหยุ่นได้ มีลักษณะโปร่งแสง ส่วนที่ยื่นพ้นปลายนิ้ว ไม่มีหลอดเลือดและเส้นประสาทมาเลี้ยง
ทำให้สามารถตัดเล็บได้ ส่วนที่ฝังอยู่ในผิวหนังเรียก รากเล็บ
ด้านใต้ของเล็บมีปลายประสาทและหลอดเลือดมาเลี้ยงมาก การงอกของเล็บเฉลี่ย 1
มิลลิเมตรต่อสัปดาห์ โดยเล็บเท้างอกช้ากว่าเล็บมือ
ระบบกล้ามเนื้อ ร่างกายแบ่งกล้ามเนื้อออกเป็น 3
ชนิด คือ กล้ามเนื้อยึดกระดูกหรือกล้ามเนื้อลาย (skeletal
muscle or striated muscle) กล้ามเนื้อเรียบ (smooth muscle) กล้ามเนื้อหัวใจ
(cardiac muscle) โดยที่กล้ามเนื้อลายนั้นถูกควบคุมอยู่ภายใต้อำนาจจิตใจหรือรีเฟล็กซ์
ส่วนกล้ามเนื้อเรียบและกล้ามเนื้อหัวใจทำงานนอกอำนาจจิตใจ
1.กล้ามเนื้อลายหรือกล้ามเนื้อยึดกระดูก (skeleton
muscle) เป็นกล้ามเนื้อที่เกาะติดกับโครงกระดูกหรือกล้ามเนื้อลาย
เช่น กล้ามเนื้อแขน กล้ามเนื้อขา
จึงทำหน้าที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของร่างกายโดยตรง
เมื่อนำเซลล์กล้ามเนื้อเหล่านี้มาศึกษาด้วย กล้องจุลทรรศน์จะมองเห็นเป็นแถบลาย
เซลล์กล้ามเนื้อนี้มีลักษณะเป็นทรงกระบอกยาว แต่ละเซลล์ มีหลายนิวเคลียส
การทำงานของกล้ามเนื้อยึดกระดูกถูกควบคุมโดยระบบประสาทโซมาติก
การทำงานของกล้ามเนื้อชนิดนี้ ร่างกายสามารถบังคับได้ซึ่งถือว่าอยู่ในอำนาจจิตใจ
2.กล้ามเนื้อหัวใจ (cardiac muscle) เซลล์มีรูปร่างเป็นทรงกระบอก
แต่สั้นกว่าเซลล์กล้ามเนื้อยึดกระดูกและเห็นเป็นลายเช่นเดียวกัน
แต่ตอนปลายของเซลล์มีการแตกแขนง และเชื่อมโยงติดต่อกับเซลล์ข้างเคียง
การทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจถูกควบคุมโดยระบบประสาทอัตโนวัติ
ดังนั้นร่างกายไม่สามารถบังคับได้ จึงเป็นกล้ามเนื้อที่อยู่นอกอำนาจจิตใจ
3.กล้ามเนื้อเรียบ (smooth muscle) กล้ามเนื้อเรียบเป็นกล้ามเนื้อที่พบอยู่ตามอวัยวะภายในเช่นผนังกระเพาะอาหาร ผนังลำไส้ ผนังหลอดเลือด และม่านตา เป็นต้น กล้ามเนื้อเหล่านี้ ประกอบด้วยเซลล์ที่มีลักษณะยาว หัวท้ายแหลม แต่ละเซลล์มี 1 นิวเคลียส ไม่มีลายพาดขวาง
การทำงานของกล้ามเนื้อ
เมื่อสมองสั่งให้ร่างกายเคลื่อนไหว กล้ามเนื้อจะเกิดการหดตัวและคลายตัว
ทำงานประสานเป็นคู่ ๆ พร้อมกัน แต่ตรงข้ามกัน ในขณะที่กล้ามเนื้อมัดหนึ่งหดตัว
กล้ามเนื้ออีกมัดหนึ่งจะคลายตัว การทำงานของกล้ามเนื้อในลักษณะนี้ เรียกว่า Antagonistic
muscle
มัดกล้ามเนื้อไบเซพ (Biceps) อยู่ด้านบน
และไตรเซพ (Triceps) อยู่ด้านล่างของแขน
ไบเซพหรือ (Flexors)
คลายตัว ไตรเสพ หรือ (Extensors) หดตัว
เท่ากับ แขนเหยียดออก
ไบเซพหรือ (Flexors)
หดตัว ไตรเสพ หรือ (Extensors) คลายตัว
เท่ากับ แขนงอเข้า
หน้าที่กล้ามเนื้อมนุษย์
1. คงรูปร่างท่าทางของร่างการ (Maintain
Body Posture)
2. ยึดข้อต่อไว้ด้วยกัน (Stabilize Joints)
3. ทำให้ร่างกายเคลื่อนไหว (Provide
Movement) กล้ามเนื้อทำให้ให้เราเคลื่อนไหวในส่วนที่ต้องการได้
กิจกรรมทุกอย่างที่เราทำอยู่ทุกๆวันนี้เกิดขึ้นได้เพราะร่างกายเราสามารถเปลี่ยนเอาพลังงานที่ได้จากสารอาหารมาเป็นพลังงานกล
(Mechanical Energy) หรือพลังงานที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว
4. รักษาระดับอุณหภูมิของร่างกาย (Maintain
Body Temperature) โดยผลิตความร้อนออกมาตามที่ร่างกายต้องการ
ระบบกระดูกและข้อ
ร่างกายของมนุษย์ที่เจริญเติบโตเต็มที่จะประกอบด้วยกระดูกทั้งหมด 206
ชิ้นแบ่งเป็น กระดูกแกน 80 ชิ้น เช่น กะโหลกศีรษะ กระดูกสันหลัง กระดูกก้นกบ
กระดูกซี่โครง อีกพวกหนึ่ง คือ กระดูกรยางค์ จำนวน 126 ชิ้น เช่น กระดูกแขนขา
สะบัก ไหปลาร้า เชิงกราน
ความสำคัญของกระดูก
โครงกระดูกมีหน้าที่สำคัญอยู่ 3 ประการ คือ
- ทำหน้าที่เป็นโครงร่างของร่างกายให้ร่างกายคงรูปอยู่ได้
-
ป้องกันอันตรายให้แก่อวัยวะที่สำคัญ เช่น สมอง ไขสันหลัง หัวใจ ปอด ตับ
- เป็นที่ยึดของกล้ามเนื้อ
การที่เราเคลื่อนไหวได้เป็นผลมาจากการหดตัวและคลายตัว ของกล้ามเนื้อ
ที่ยึดติดกับกระดูก
เมื่อศึกษาถึงโครงสร้างของกระดูกแล้วพบว่า
กระดูกของมนุษย์แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
1. กระดูกอ่อน (Cartilage) เป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพันซึ่งประกอบด้วยเซลล์กระดูกอ่อน
สารระหว่างเซลล์และเส้นใยชนิดต่าง ๆ โดยทั่วไปกระดูก
อ่อนจะได้รับอาหารโดยแทรกซึมผ่านสารระหว่างเซลล์มา
เนื่องจากไม่มีหลอดเลือดฝอยมาหล่อเลี้ยงกระดูกอ่อนเลย
2. กระดูก (Bone) เป็นโครงสร้างที่เจริญมาจากเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน
(Membrane Bone) หรือกระดูกอ่อน (Cartilagenous Bone) ก็ได้
ประกอบ ด้วยเซลล์กระดูก (Osteocyte) เส้นใยชนิดต่าง ๆ และสารระหว่างเซลล์
ซึ่งมีผลึกไฮดรอกซีอะพาไทต์ (Hydroxyapatite ; Ca10(PO4)6(OH)2)
มาเสริมทำให้กระดูกมีความแข็งแรงมากกว่ากระดูกอ่อน
เมื่อผ่ากระดูกดูโครงสร้างภายในจะพบว่าเนื้อกระดูกส่วนนอกจะแน่นทึบ (Compact
Bone) อาหารไม่สามารถซึมผ่านเข้าไปเลี้ยงเซลล์กระดูกได้บริเวณนี้จึงมีหลอดเลือดแทรกเข้าไปทางช่องสารระหว่างเซลล์
ซึ่งเรียกว่า ช่องว่างฮาร์เวอร์เซียน(Haversian Canal) โดยจะทอดไปตามความยาวของกระดูก
ส่วนตรงกลางของกระดูกนั้นจะมีลักษณะโปร่งเป็นโพรงคล้ายฟองน้ำ (Spongy
Bone) ซึ่งเป็นที่อยู่ของไขกระดูก (Bone
Marrow) ที่ทำหน้าที่สร้างเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาวให้แก่ร่างกาย
โครงกระดูกของมนุษย์ดังกล่าวมาแล้ว
จะเชื่อมต่อกันด้วยข้อต่อซึ่งจะทำให้ร่างกายของมนุษย์เคลื่อนไหวได้หลายทิศทาง
จากการศึกษาพบว่า ข้อต่อที่เชื่อมต่อกระดูกแต่ละชิ้นในร่างกายมนุษย์แบ่งออกเป็น 2
ประเภท คือ
1. ข้อต่อที่เคลื่อนไหวไม่ได้ (Immoveable
Joint)
เป็นข้อต่อที่ทำหน้าที่ยึดกระดูกเอาไว้ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เลย
เช่น ข้อต่อกะโหลกศีรษะที่เรียกว่า Suture เป็นต้น
2. ข้อต่อที่เคลื่อนไหวได้ (Movable
Joint)
เป็นข้อต่อที่เชื่อมต่อกระดูกแล้วทำให้เคลื่อนไหวได้ซึ่งมีอยู่หลายรูปแบบ เช่น -ข้อต่อที่ทำให้เคลื่อไหวเพียงทิศทางเดียวเหมือนบานพับ
(Hinge) พบที่ข้อต่อกระดูกนิ้วมือ
นิ้วเท้า
-ส่วนข้อต่อที่ทำให้เคลื่อนไหวได้อิสระหลายทิศทาง
เนื่องจากมีการเชื่อมต่อของกระดูกคล้ายลูกกลมใบเบ้า (Ball and Socket) พบที่ข้อต่อของหัวไหล่และตะโพก
-สำหรับข้อต่อที่ต้นคอกับฐานของกะโหลกศีรษะนั้นเป็นข้อต่อทีมีเดือยสวมประกบกัน
(Pivotal) ทำให้ สามารถก้มเงยและบิดไปซ้ายขวาได้
-ส่วนข้อต่อที่ข้อมือนั้นก็หมุนได้หลายทิศทางเช่นกัน
แต่เป็นข้อต่อแบบที่เรียกกว่า Gliding
ระบบทางเดินอาหาร
เป็นระบบที่ทำหน้าที่ในการบดย่อยอาหาร และดูดซึมสารอาหารเข้าสู่ร่างกาย
เพื่อนำไปใช้เป็นพลังงานในการดำเนินกิจกรรมของเซลล์
ในทางเดินอาหารประกอบด้วยส่วนที่เป็นช่องทางเดินอาหารจากปากสู่ทวารหนัก
และอวัยวะอื่นๆ ที่มีบทบาทร่วมในการย่อยอาหาร เข่น ตับ ตับอ่อน และถุงน้ำดี
ช่องทางเดินอาหารทั้งหมด ประกอบด้วย ช่องปาก หลอดอาหาร กระเพราะอาหาร ลำไส้เล็ก
ลำไส้ใหญ่ และทวารหนัก
สำหรับลำไส้เล็กสามารแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่
ลำไส้เล็กส่วนต้น (Duodenum) ลำไส้เล็กส่วนกลาง (Jejunum) และลำไส้เล็กส่วนปลาย
(Ileum) ส่วนของลำไส้ใหญ่แบ่งออกเป็น 3 ช่วงเช่นกัน
ประกอบด้วย ชีกัม (Cecum) โคลอน (Colon) และเร็กตัม
(Rectum) ในทางเดินอาหารของมนุษย์มักพบเชื้อจุลชีพเฉพาะถิ่น
(normal flora) อาศัยอยู่ในบางส่วน
เพื่อช่วยย่อยอาหารที่เรารับประทานเข้าไป
ระบบทางเดินอาหาร ประกอบด้วยส่วนต่างๆ
ดังต่อไปนี้
อวัยวะต่างๆ
ที่อยู่ตลอดทางเดินอาหารทำหน้าที่ย่อยอาหารให้มีขนาดเล็ก
คลุกเคล้าเนื้ออาหารกับน้ำย่อย และดูดซึมสารอาหารเข้าสู่ระบบหมุนเวียนโลหิตต่อไป
การย่อยแบ่งเป็นสองประเภทคือ
การย่อยเชิงกล คือ การเคี้ยว การคุลกเคล้าอาหารที่กระเพาะและลำไส้
การย่อยเชิงเคมี คือ
การย่อยอาหารโดยน้ำย่อยชนิดต่างๆ ที่อยู่ในทางเดินอาหาร รวมทั้งที่ผลิตมาจากตับ
ตับอ่อน และถุงน้ำดี
กระบวนการย่อยเริ่มต้นที่ช่องปาก
เมื่อคุณเริ่มเคี้ยวอาหาร ฟันทำหน้าที่บดอาหารให้เป็นชิ้นเล็ก ต่อมน้ำลายจะผลิตน้ำลายออกมาคลุกเคล้ากับอาหาร
เพื่อให้ง่ายต่อการกลืนและเคลื่อนผ่านไปยังส่วนต่อไป นอกจากนี้
ในน้ำลายยังมีเอนไซม์อะไมเลส ทำหน้าที่ย่อยอาหารจำพวกแป้งด้วย
หลอดอาหาร (Esophagus)
หลังจากที่เรากลืนอาหารผ่านลำคอลงไป
อาหารจะเคลื่อนผ่านหลอดอาหารด้วยวิธีที่เรียกว่า Peritalsis ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวของหลอดอาหารให้ก้อนอาหารที่กลืนลงไปตกลงสู่กระเพาะอาหาหาร
กระเพาะอาหาร (Stomach)
เมื่ออาหารเคลื่อนมายังกระเพาะอาหาร
ก้อนอาหารจะกระตุ้นให้กระเพาะอาหารเกิดการเคลื่อนไหว หรือเกิดการบีบตัวและคลายตัว
เพื่อเป็นการคลุกเคล้าอาหารให้ทำผสมกับน้ำย่อยที่หลั่งออกมจากต่อมไร้ท่อ
ในกระเพาะอาหารจะมีสภาวะเป็นกรดประมาณ pH 2 – 3
ซึ่งเอื้อต่อการทำงานของเอนไซม์หรือน้ำย่อย
โดยอาหารจำพวกโปรตีนจะถูกย่อยที่กระเพาะอาหารมากที่สุดด้วยเอนไซมม์เพปซิน (Pepsin)
ตับอ่อน (Pancreas)
ตับอ่อนทำหน้าที่ในการผลิตน้ำย่อยซึ่งเป็นเอนไซม์หลายชนิด
และมีบทบาทในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน
น้ำย่อยที่ผลิตโดยดับอ่อนจะลำเลียงผ่านท่อมาสู่ทางเดินอาหารที่ลำไส้เล็กส่วนต้น
ตับ (Liver)
บทบาทของตับในระบบทางเดินอาหารคือทำหน้าที่ผลิตน้ำดี
เพื่อช่วยการย่อยไขมันและวิตามินบางชนิด
โดยน้ำดีที่สร้างจากตับจะเก็บไว้ที่ถุงน้ำดีและลำเลียงเข้าสู่ทางเดินอาหารบริเวณลำไส้เล็กส่วนต้น
ถุงน้ำดี (Gallbladder)
ทำหน้าที่เก็บน้ำดี (Bile) ที่ผลิตมาจากตับ
และปล่อยน้ำดีเข้าสู่ทางเดินอาหารผ่านท่อน้ำดี เมื่อมีอาหารเคลื่อนผ่านมายังลำไส้เล็กส่วนต้น
ลำไส้เล็ก (Small intestine)
ลำไส้เล็กทำหน้าที่ผลิตน้ำย่อย, คลุกเคล้าอาหารที่ให้เข้ากับน้ำย่อยจากตับอ่อน,
และดูดซึมสารอาหารที่ย่อยแล้ว สารอาหารทั้งโปรตีนน คาร์โบไฮเดรต
และไขมัน จะถูกย่อยอย่างสมบูรณ์ภายในลำไส้เล็ก แบคทีเรียบางชนิดที่อยู่ในลำไส้เล็กมีบทบาทในการผลิตเอนไซม์เพื่อช่วยย่อยคาร์โบไฮเดรต
ลำไส้ใหญ่ (Large intestine)
ภายในลำไส้ใหญ่ น้ำและเกลือแร่ รวมถึงวิตามิน
จะถูกดูดซึมเข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิตผ่านทางผนังลำไส้
และไม่พบกระบวนการย่อยอาหารเกิดขึ้นในลำไส่ใหญ่ กากอาหารต่างๆ
ที่เหลือจากการย่อยจะถูกขับออกจากร่างกายทางทวารหนัก (Anus) แบคทีเรียเจ้าถิ่นที่อาศัยอยู่ในลำไส้ใหญ่มีบทบาทช่วยป้องกันเชื้อแปลกปลอมที่ปะปนมากับอาหาร
รวมถึงช่วยรักษาสมดุลภายในลำไส้ให้อยู่ในสภาวะปกติ
ระบบสืบพันธุ์
การสืบพันธุ์ของคนเป็นการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ
เพราะมีการผสมกันของเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ (เซลล์อสุจิ) กับเซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย
(เซลล์ไข่) ระบบสืบพันธุ์เพศชายประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดังนี้
อวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก ได้แก่ ถุงอัณฑะ องคชาติ
1.ถุงอัณฑะ (Scrotum) เป็นส่วนของผิวหนังที่ไม่มีไขมันใต้ผิวหนัง
ยื่นลงมาจากหน้าท้อง มีกล้ามเนื้อเรียบปรากฏอยู่
มีกล้ามเนื้อที่ช่วยปรับอุณหภูมิของอัณฑะให้ต่ำกว่าอุณหภูมิของร่างกาย ประมาณ 3-5
องศาเซลเซียส
2. องคชาติ (Penis) ทำหน้าที่เป็นทางผ่านของปัสสาวะ
และเป็นอวัยวะในการร่วมเพศ องคชาติเป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพันชนิดพิเศษ
โดยปกติจะหดตัวอยู่ แต่ถ้ามีความรู้สึกทางเพศ จะสามารถแข็งตัวได้
อวัยวะสืบพันธุ์ภายใน ได้แก่ อัณฑะ
ท่อและต่อมต่างๆ
1. อัณฑะ (Testis) เป็นอวัยวะสำคัญที่สุดในระบบสืบพันธุ์เพศชาย
ทำหน้าที่สร้างอสุจิ และฮอร์โมนเพศชาย อัณฑะมีลักษณะรูปไข่อยู่ในถุงอัณฑะ
ทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนเพศชาย คือ เทสโทสเตอโรน โดยมีท่อนำอสุจิออกสู่ภายนอก
2. หลอดเก็บอสุจิ (Epididymis) เป็นท่อขดไปมา
วางตัวติดกับด้านหลังของอัณฑะ ประกอบด้วยส่วนหัว ส่วนลำตัว และส่วนหาง
หลอดเก็บอสุจิยาวประมาณ 4-6 เซนติเมตร
ทำหน้าที่เป็นที่เก็บอสุจิที่สร้างสมบรูณ์แล้ว
3. ท่อนำอสุจิ (Vas deferens) เป็นท่อต่อจากส่วนหางของหลอดเก็บอสุจิ
ยาวประมาณ 1 นิ้ว ทำหน้าที่นำอสุจิจากอัณฑะเข้าไปในช่องท้อง
4. ถุงพักอสุจิ (Seminal vesicle) เป็นต่อมที่มีลักษณะเป็นถุงยาว
2 ถุง ยื่นออกจากท่อนำอสุจิ มีหน้าที่สร้างน้ำเลี้ยงอสุจิ (Seminal fluid) ในน้ำเลี้ยงประกอบด้วยน้ำตาลฟรุกโทส
กับโปรตีนโกลบูลิน
5. ท่อฉีดอสุจิ (Ejaculatory duct) เป็นท่อสั้นๆ
เปิดเข้าสู่ท่อปัสสาวะตรงบริเวณต่อมลูกหมาก ยาวประมาณ 2 เซนติเมตร
บางครั้งเรียกว่า หลอดฉีดน้ำกาม ท่อนี้ทำหน้าที่บีบตัวเพื่อขับน้ำอสุจิ (Semen)
6. ต่อมลูกหมาก (Prostate gland) เป็นต่อมที่อยู่รอบท่ออสุจิ
อยู่ด้านล่างกระเพาะปัสสาวะ ทำหน้าที่สร้างน้ำกามซึ่งมีลักษณะคล้ายน้ำนม
น้ำกามมีฤทธิ์เป็นเบสเล็กน้อย และมีกลิ่นเฉพาะตัว
7. ต่อมกลั่นเมือก (Urethral gland) ได้แก่
ต่อมคาวเปอร์ (Cowper gland) อยู่ใต้ต่อมลูกหมาก
ทำหน้าที่สร้างสารหล่อลื่นท่อปัสสาวะ มีฤทธิ์เป็นเบส
ในเพศชาย เมื่อเข้าสู่ระยะที่สืบพันธุ์ได้
จะมีการสร้างอสุจิได้เป็นจำนวนมาก และเป็นช่วงเวลานานกว่าเพศหญิง
คือจนถึงอายุประมาณ 80-90 ปี แต่ในระยะหลังๆ นี้ อสุจิที่สร้างได้จะมีจำนวนน้อยลง
ปกติการหลั่งน้ำอสุจิในแต่ละครั้ง
จะมีปริมาณประมาณ 3-5 มิลลิลิตร โดยมีอสุจิอยู่ประมาณ 300-400 ล้านตัว
หากมีจำนวนอสุจิน้อยกว่านี้ อาจเป็นสาเหตุทำให้เป็นหมันได้
อสุจิเมื่อเข้าไปในช่องคลอดเพศหญิง จะมีชีวิตอยู่ได้ถึง 48 ชั่วโมง
อสุจิสามารถเคลื่อนที่ได้ด้วยความเร็ว 3 มิลลิเมตรต่อนาที โดยการว่ายน้ำไป
และจะเคลื่อนที่ไปถึงท่อนำไข่ในเวลา 30-60 นาที
ระบบสืบพันธุ์เพศหญิงประกอบด้วยส่วนต่างๆ
มากมาย เช่น คลิทอริส รังไข่ ท่อนำไข่ ช่องคลอด มดลูก เป็นต้น
ซึ่งแต่ละส่วนนั้นล้วนมีหน้าที่เฉพาะและมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน การสืบพันธุ์ของคนเป็นการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ
เพราะมีการผสมกันของเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ (เซลล์อสุจิ) กับเซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย
(เซลล์ไข่) ระบบสืบพันธุ์เพศหญิงประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดังนี้
อวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก ได้แก่ คลิทอริส แคมใหญ่
แคมเล็ก เวสทิบุล เยื่อพรหมจารีย์ รวมทั้งต่อมสร้างน้ำเมือกบริเวณช่องคลอด
1. คลิทอริส (Clitoris) เทียบได้กับองคชาติในเพศชาย
ประกอบด้วยเนื้อเยื่อที่ทำให้เกิดการแข็งตัว โดยให้เลือดมาคั่ง
2. แคมใหญ่ (Labia Majora) เป็นปุ่มนูนขนาดใหญ่
2 อัน ซึ่งประกอบด้วย ต่อมน้ำมัน ไขมัน
มีขนปกคลุมอยู่ด้านบนของแคมใหญ่
3. แคมเล็ก (Labia Minora) มีลักษณะเป็นเนื้อนิ่มของปุ่มนูนของผิวหนังเหมือนกัน
แต่ไม่มีไขมัน ไม่มีขน ด้านหลังจะมารวมกันเป็นฝีเย็บซึ่งจะฉีกขาดในตอนคลอด
4. เวสทิบุล (Vestibule) เป็นส่วนที่อยู่นอกสุดของช่องคลอด
จะมีเยื่อพรหมจารีย์ (Hymen) ปิดอยู่ มีช่องเปิดของท่อปัสสาวะ
และช่องเปิดของช่องคลอดรวมอยู่
5. ต่อมสร้างน้ำเมือก (Vestibula Gland) อยู่ที่บริเวณแคมเล็ก
ทำหน้าที่สร้างสารเมือก เพื่อการหล่อลื่น
อวัยวะสืบพันธุ์ภายใน ได้แก่ รังไข่ มดลูก
และช่องคลอด
1. รังไข่ (Ovary) เป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดในระบบสืบพันธุ์เพศหญิง
มีอยู่ 2 ข้างในช่องท้องน้อยยึดติดกับมดลูกโดยเอ็น
ส่วนด้านนอกยึดติดกับลำตัว ภายในรังไข่จะพบไข่มากมายประมาณ 3-4
แสนใบ รังไข่ทำหน้าที่ 2 อย่าง คือ สร้างไข่ และสร้างฮอร์โมนเพศหญิง
ไข่ใบที่สุกเต็มที่แล้ว จะหลุดออกมาจากรังไข่
เรียกว่า การตกไข่ (Ovulation) ซึ่งถูกควบคุมและกระตุ้นโดยฮอร์โมน LH
และ FSH จากต่อมใต้สมอง
รังไข่จะสร้างฮอร์โมนโพรเจสเตอโรน ในรอบ 28 วัน ไข่จะสุกเพียงวันเดียว
และระยะตกไข่จะมีเวลาประมาณ 14 วัน หากไข่ไม่ได้รับการผสมก็จะสลายไป
และหลุดออกมาสู่ภายนอกพร้อมๆ กับผนังมดลูก เรียกว่า ประจำเดือน (Menstruation)
ประจำเดือนจะหมดเมื่ออายุประมาณ 45-50 ปี
2. ท่อนำไข่ (Oviduct) เป็นท่อซึ่งด้านหนึ่งติดกับมดลูก
อีกด้านหนึ่งอยู่ใกล้ๆ รังไข่ เป็นทางผ่านของไข่และอสุจิ ซึ่งจะพบกันประมาณ 1 ใน
3 ของท่อนำไข่
3. ช่องคลอด (Vagina) อยู่ระหว่างทวารหนัก
กับปากท่อปัสสาวะ ผนังด้านในมีเยื่อเมือกบุอยู่ ยืดหดได้ดี
ที่ปากช่องคลอดมีกล้ามเนื้อหูรูดสามารถบังคับได้
4. มดลูก (Uterus) มีขนาดกว้าง
2 นิ้ว ยาว 3 นิ้ว
และหนา 1 นิ้ว อยู่ในช่องท้องน้อย
ผนังยืดหดได้มากเป็นพิเศษ และขยายตัวได้มากในเวลาตั้งครรภ์ ในระยะคลอด
ฮอร์โมนออกซิโทซินจะกระตุ้นให้กล้ามเนื้อบริเวณนี้หดตัวอย่างรุนแรง
ทำให้คลอดได้ง่ายขึ้น
ระบบทางเดินหายใจแบ่งตามโครงสร้างได้ ดังนี้
ระบบทางเดินหายใจส่วนบน (Upper
respiratory tract, URI) : ประกอบด้วยอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการหายใจเหนือกล่องเสียงขึ้นไป
ได้แก่ จมูก, คอหอย เป็นต้น
ระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง (Lower
respiratory tract, LRI) : ประกอบด้วย กล่องเสียง, หลอดคอ,
หลอดลมใหญ่ และปอด
ระบบทางเดินหายใจแบ่งตามหน้าที่ได้ ดังนี้
ทำหน้าที่เป็นการลำเลียงอากาศ :
มีหน้าที่นำอากาศจากภายนอกเข้าสู่ปอด เป็นทางผ่านเข้าออกของอากาศเท่านั้น
ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยนแก๊ส ได้แก่ จมูก, คอหอย,
กล่องเสียง, หลอดคอ, หลอดลมใหญ่,
หลอดลมฝอย, และปลายหลอดลมฝอย
ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนแก๊ส :
เป็นบริเวณที่แลกเปลี่ยนแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และแก๊สออกซิเจนกับเนื้อเยื่อ ได้แก่
หลอดลมฝอยแลกเปลี่ยนแก๊ส, ท่อลม, ถุงลม,
ถุงลมเล็ก
การหายใจ (respiration) เป็นการนำอากาศเข้าและออกจากร่างกาย
ส่งผลให้แก๊สออกซิเจนทำปฏิกิริยากับสารอาหาร ได้พลังงาน น้ำ
และแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ กระบวนการหายใจเกิดขึ้นกับทุกเซลล์ตลอดเวลา
โดยจำเป็นต้องอาศัยโครงสร้าง 2 ชนิดคือ กล้ามเนื้อกะบังลม
และกระดูกซี่โครง ซึ่งมีกลไกการทำงานของระบบหายใจ
การหายใจเข้า (INSPIRATION)
กะบังลมจะเลื่อนต่ำลง
กระดูกซี่โครงจะเลื่อนสูงขึ้น ทำให้ปริมาตรของช่องอกเพิ่มขึ้น
ความดันอากาศในบริเวณรอบ ๆ ปอดลดต่ำลงกว่าอากาศภายนอก
อากาศภายนอกจึงเคลื่อนเข้าสู่จมูก หลอดลม และไปยังถุงลมปอด
การหายใจออก (EXPIRATION)
กะบังลมจะเลื่อนสูง กระดูกซี่โครงจะเลื่อนต่ำลง
ทำให้ปริมาตรของช่องอกลดน้อยลง ความดันอากาศในบริเวณรอบ ๆ ปอดสูงกว่าอากาศภายนอก
อากาศภายในถุงลมปอดจึงเคลื่อนที่จากถุงลมปอดไปสู่หลอดลมและออกทางจมูก
ระบบไหลเวียนโลหิต (Circulatory System)
คือ ระบบภายในของมนุษย์ที่มีหน้าที่ลำเลียงสาร แร่ธาตุ และก๊าซชนิดต่าง
ๆ ไปล่อเลี้ยงยังเซลล์และเนื้อเยื่อทั่วทั้งร่างกาย ระบบหมุนเวียนเลือด
ในขณะเดียวก็ทำหน้าที่ลำเลียงของเสียที่เกิดจากกระบวนการเผาผลาญและการสันดาปในร่างกาย
เช่น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ กรดยูริก และแอมโมเนีย
ไปขับออกจากร่างกายยังอวัยวะที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้อง
ระบบไหลเวียนโลหิตทั้งหมดอาศัยการทำงานร่วมกันขององค์ประกอบที่สำคัญ
3 ส่วน ดังนี้
1. เลือด (Blood) : ประกอบด้วยน้ำเลือด
(Plasma) ประมาณร้อยละ 55 ซึ่งอยู่ในสถานะของเหลว
และเม็ดเลือดชนิดต่าง ๆ ที่ทำหน้าที่ลำเลียงสารอาหาร ฮอร์โมน ก๊าซ และแร่ธาตุต่าง
ๆ ไปยังเซลล์
เม็ดเลือดสามารถจำแนกออกเป็น 3 ชนิด ประกอบด้วย
เกล็ดเลือด (Platelet) คือ
ส่วนประกอบของเซลล์ขนาดเล็กที่ถูกสร้างจากไขกระดูก ไม่มีนิวเคลียส
ไม่มีรูปร่างที่แน่นอน มีอายุราว 8 ถึง 10 วันในกระแสเลือด
ทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้นปฏิกิริยาให้เกิดการแข็งตัวของเลือด เมื่อเกิดบาดแผล
เซลล์เม็ดเลือดแดง (Red Blood Cell) คือ
เซลล์เม็ดเลือดที่ถูกสร้างจากไขกระดูก มีรูปร่างคล้ายจาน ไม่มีนิวเคลียส
มีรอยบุ๋มตรงกลางเซลล์ มีอายุราว 120 วัน ก่อนถูกทำลายโดยฟาโกไซต์ (Phagocyte)
ในม้ามและตับ เซลล์เม็ดเลือดแดงทำหน้าที่ขนส่งและถ่ายโอนก๊าซออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ระหว่างปอดและเนื้อเยื่อต่าง
ๆ ผ่านการจับของสารสีม่วงแดงที่เรียกว่า “ฮีโมโกลบิน” (Hemoglobin)
เซลล์เม็ดเลือดขาว (White blood Cell) คือ
เซลล์เม็ดเลือดที่ถูกสร้างจากไขกระดูก มีขนาดใหญ่กว่าเซลล์เม็ดเลือดแดง
มีรูปร่างกลมแบน มีนิวเคลียส ทำหน้าที่สร้างแอนติบอดี้ (Antibody) เพื่อต่อต้านสิ่งแปลกปลอม
สร้างภูมิคุ้มกัน และทำลายเชื้อโรค
2. หลอดเลือด (Blood Vessels) : ท่อลำเลียงเลือดที่ทอดแขนงจากหัวใจไปยังส่วนต่าง
ๆ ของร่างกายโดยเป็นการทำงานร่วมกันของหลอดเลือดแดง (Artery) ที่นำเลือดซึ่งมีปริมาณออกซิเจนสูงออกจากหัวใจส่งต่อไปยังหลอดเลือดฝอย
(Capillary) ที่มีขนาดเล็ก แตกแขนงแทรกซึมอยู่ในเนื้อเยื่อส่วนต่าง
ๆ
ก่อนที่หลอดเลือดฝอยจะรับเลือดดำหรือเลือดที่มีปริมาณออกซิเจนต่ำออกจากเซลล์ส่งต่อไปยังหลอดเลือดดำ
(Vein) ที่นำเลือดกลับสู่หัวใจอีกครั้ง
3. หัวใจ (Heart) : อวัยวะที่มีกล้ามเนื้อชนิดพิเศษ
ซึ่งทำการบีบตัวอยู่ตลอดเวลา เพื่อสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงเนื้อเยื่อส่วนต่าง ๆ
ของร่างกาย โดยภายในหัวใจสามารถแบ่งออกเป็น 4 ห้อง
ซึ่งแต่ละห้องมีการเรียงลำดับตามการไหลเวียนโลหิตของหัวใจ ดังนี้
หัวใจห้องบนขวา (Right Atrium) คือ
ส่วนที่รับเลือดดำหรือเลือดที่ผ่านการใช้งานจากทุกส่วนของร่างกาย
หัวใจห้องล่างขวา (Right Ventricle) คือ
ส่วนที่รับเลือดจากหัวใจห้องบนขวา เพื่อส่งไปยังปอด
หัวใจห้องบนซ้าย (Left Atrium) คือ
ส่วนที่รับเลือดแดงซึ่งผ่านการฟอกจากปอด
หัวใจห้องล่างซ้าย (Left Ventricle) คือ
ส่วนที่รับเลือดแดงจากหัวใจห้องบนซ้ายก่อนส่งไปเลี้ยงทั่วร่างกาย
จึงเป็นส่วนของหัวใจที่ทำงานหนักที่สุด มีผนังหัวใจหนาที่สุด
เพื่อทำการสูบฉีดเลือดให้ไหลเวียนไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
ระบบขับถ่าย
ทำหน้าที่กำจัดของเสียที่เกิดจากเมตาบอลิซึมของเซลล์ออกไปจากร่างกาย
และช่วยควบคุมปริมาณของน้ำในร่างกายให้สมดุล
อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับระบบขับถ่ายมีดังนี้
1. ไต เป็นอวัยวะที่มีลักษณะคล้ายถั่ว
มีสีแดงแกมน้ำตาลมีเยื่อหุ้มบางๆ ไตมี 2 ข้าง ซ้ายและขวา
อยู่บริเวณด้านหลังของช่องท้อง ใกล้กระดูกสันหลังบริเวณเอว
บริเวณส่วนที่เว้าเป็นกรวยไต มีหลอดไตต่อไปยังกระเพาะปัสสาวะ
โครงสร้างไตประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 2
ชั้น หน่วยไตชั้นนอก เรียกว่า คอร์ดเทกซ์ ชั้นในเรียกว่า เมดัลลา ภายในไตประกอบด้วยหน่วยไต
มีลักษณะเป็นท่อขดมีหลอดเลือดฝอยเป็นกระจุกอยู่เต็มไปหมด
ไตเป็นอวัยวะที่ทำงานหนัก
ในแต่ละนาทีจะมีเลือดมายังไตราว 1,000 มิลลิลิตร
ไตจะขับของเสียออกมาในรูปของน้ำปัสสาวะ แล้วส่งต่อไปยังกระเพาะปัสสาวะ
ซึ่งมีความจุประมาณ 500 ลูกบาศก์เซนติเมตร
ร่างกายจะรู้สึกปวดปัสสาวะเมื่อน้ำปัสสาวะไหลสู่กระเพาะปัสสาวะประมาณ 250
ลูกบาศก์เซนติเมตร ใน 1 วัน คนเราจะขับน้ำปัสสาวะออกมาประมาณ 1-1.5
ลิตร
2. ผิวหนัง
ผิวหนังมีการกำจัดของเสียในรูปของเหงื่อ เหงื่อประกอบไปด้วยน้ำเป็นส่วนใหญ่
เหงื่อจะถูกขับออกจากร่างกายทางผิวหนัง โดยผ่านต่อมเหงื่อซึ่งอยู่ใต้ผิวหนัง
ต่อมเหงื่อมี 2 ชนิด คือ
- ต่อมเหงื่อขนาดเล็ก
มีอยู่ทั่วผิวหนังในร่างกาย ยกเว้นที่ริมฝีปากและอวัยวะสืบพันธุ์
ต่อมเหงื่อขนาดเล็กมีการขับเหงื่อออกมาตลอดเวลา เหงื่อที่ออกจากต่อมขนาดเล็กนี้
ประกอบด้วยน้ำร้อยละ 99 สารอื่นๆ ร้อยละ 1
ได้แก่ เกลือโซเดียม และยูเรีย
- ต่อมเหงื่อขนาดใหญ่
จะอยู่ที่บริเวณ รักแร้ รอบหัวนม รอบสะดือ ช่องหูส่วนนอก อวัยวะเพศบางส่วน
ต่อมนี้มีท่อขับถ่ายใหญ่กว่าชนิดแรก ต่อมนี้จะตอบสนองทางจิตใจ
สารที่ขับถ่ายมักมีกลิ่น ซึ่งก็คือกลิ่นตัว
เหงื่อจะถูกลำเลียงไปตามท่อที่เปิดอยู่ที่เรียกว่า รูเหงื่อ
3. ปอด แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ แก๊ส และน้ำ
ซึ่งเกิดจากการเผาผลาญอาหารภายในเซลล์ จะถูกส่งเข้าสู่เลือด
จากนั้นหัวใจจะสูบฉีดเลือดที่มีแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ไปที่ปอด
ปอดจะทำการกรองแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ แล้วขับออกจากร่างกายโดยการหายใจออก
4. ลำไส้ใหญ่ กากอาหารที่เหลือจากการย่อย
จะถูกลำเลียงผ่านไปยังลำไส้ใหญ่ โดยลำไส้ใหญ่จะทำหน้าที่สะสมกากอาหาร
และจะดูดซึมสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น น้ำ แร่ธาตุ วิตามิน และกลูโคส
ออกจากกากอาหาร ทำให้กากอาหารเหนียว และข้นจนเป็นก้อนแข็ง จากนั้น
ลำไส้จะบีบตัวเพื่อให้กากอาหารเคลื่อนที่ไปรวมกันที่ลำไส้ตรง
และขับถ่ายสู่ภายนอกร่างกายทางทวารหนักในรูปของอุจจาระ
หน้าที่ของระบบน้ำเหลือง
1. ลำเลียงสาร
มีไขมันบางส่วนจากอาหารในลำไส้ที่ถูกระบบน้ำเหลืองดูดซับ
ซึ่งระบบน้ำเหลืองจะลำเลียงสารอาหารที่เป็นไขมันเหล่านี้เพื่อส่งคืนกลับเข้าสู่ระบบหมุนเวียนเลือด
นอกจากนี้ยังลำเลียงสารอาหารหรือของเสียที่มีโมเลกุลใหญ่จากช่องว่างระหว่างเซลล์เนื้อเยื่อ (intercellular space) ไปตามท่อน้ำเหลืองและจะถูกคัดกรองที่ต่อมน้ำเหลือง
รวมถึงการลำเลียงเซลล์เม็ดเลือดขาวที่จะจัดการกับเชื้อโรคไปยังส่วนต่าง ๆ
ของร่างกาย
2. ลำเลียงของเหลวกลับสู่ระบบหมุนเวียนเลือด
บริเวณรอบ ๆ เนื้อเยื่อและอวัยวะต่าง ๆ จะมีของเหลวส่วนเกินซึ่งถูกแรงดัน (Hydrostatic
pressure) ดันออกมาจากหลอดเลือดฝอย (Capillary) ระบบน้ำเหลืองจะทำหน้าที่ลำเลียงของเหลวส่วนเกินนี้กลับทางท่อน้ำเหลืองและกลับเข้าสู่ระบบหมุนเวียนเลือดอีกครั้ง
โดยลำเลียงส่งไปทางระบบน้ำเหลืองตามลำดับ ดังนี้ Intercellular fluid (ช่องว่างระหว่างเซลล์เนื้อเยื่อ)
---> lymph capillary (ท่อน้ำเหลืองฝอย)
---> lymph vessels (ท่อน้ำเหลือง) ----> Rt. Lymphatic duct (ท่อน้ำเหลืองจากแขนขวาและศรีษะซีกขวา)
และ Thoracic duct (ท่อน้ำเหลืองจากแขนซ้ายและส่วนอื่นๆ
ของร่างกาย) ---> Right Subclavian Vein และ
Left Subclavian Vein (หลอดเลือดดำ)
ซึ่งการลำเลียงของเหลวส่วนเกิดกลับนี้จะช่วยให้ร่างกายยังคงรักษาสมดุลปริมาตรและความดันของเลือดในระดับปกติไว้ได้
และยังป้องกันการบวมน้ำจากการสะสมของเหลวส่วนเกินรอบ ๆ เนื้อเยื่ออีกด้วย
3. จัดการกับเชื้อโรค เชื้อโรคต่าง ๆ
ที่เข้าสู่ร่างกายทางปาก จมูก หรือแม้แต่เศษซากเซลล์ที่เสียหายหรือตายแล้ว
ระบบน้ำเหลืองจะจัดการกับสิ่งเหล่านี้ ทั้งโดยการกรองที่ต่อมน้ำเหลือง
รวมถึงสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวมากขึ้นเพื่อมากำจัดเชื้อโรค
โครงสร้างของระบบน้ำเหลือง
โครงสร้างของระบบน้ำเหลือง ประกอบไปด้วย
น้ำเหลือง ท่อน้ำเหลือง อวัยวะน้ำเหลือง
1. น้ำเหลือง (Lymph) เป็นส่วนที่มาจากพลาสมา
มีลักษณะเป็นของเหลวใส ไม่มีสี ประกอบไปด้วย น้ำ โปรตีน เกลือ กรดไขมัน
เม็ดเลือดขาว และสารอื่น ๆ ที่ต้องลำเลียงกลับไปยังระบบหมุนเวียนเลือด ผ่านทางท่อน้ำเหลืองและหลอดเลือด
น้ำเหลืองจะมีทิศทางการไหลเพียงทิศทางเดียว คือ ทิศทางไปยังลำคอ
โดยท่อน้ำเหลืองจะเชื่อมต่อกับเส้นเลือดดำที่ชื่อว่า ซับคลาเวียน (Subclavian
Vein) และของเหลวจากท่อน้ำเหลืองจะกลับเข้าสู่ระบบหมุนเวียนเลือด
2. ท่อน้ำเหลือง (Lymphatic Vessels) ท่อน้ำเหลืองพบได้ทั่วไปในร่างกายของเรา
มีลักษณะคล้ายกับเส้นเลือดดำและเส้นเลือดฝอยในระบบหมุนเวียนเลือด
และมีลิ้นปิดเปิดเพื่อป้องกันการไหลย้อนกลับของน้ำเหลือง
ท่อน้ำเหลืองจะวางตัวขนานกับหลอดเลือดและคอยนำของเหลวส่วนเกินที่อยู่รอบ ๆ
เนื้อเยื่อกลับเข้าสู่ระบบหมุนเวียนเลือด โดยท่อน้ำเหลืองจากบริเวณต่าง ๆ จะค่อย ๆ
รวมกันเป็นท่อที่มีขนาดใหญ่ขึ้น
ลำเลียงของเหลวผ่านต่อมน้ำเหลืองเพื่อกรองเชื้อโรคต่าง ๆ
ก่อนจะระบายน้ำเหลืองเข้าสู่เส้นเลือดดำที่ชื่อว่า Right Subclavian Vein และ
Left Subclavian Vein บริเวณใกล้หัวใจ
3. อวัยวะน้ำเหลือง
- ต่อมน้ำเหลือง (Lymph nodes) เป็นส่วนที่เชื่อมต่อกับท่อน้ำเหลือง
ในร่างกายของคนเรามีต่อมน้ำเหลืองอยู่ประมาณ 700 ต่อม พบได้ตามส่วนต่าง ๆ
ของร่างกาย ตั้งแต่บริเวณลำคอลงไปจนถึงเข่า โดยเฉพาะบริเวณใต้วงแขน ขาหนีบ
หรือข้อพับ ซึ่งจะเชื่อมต่อกันเป็นกลุ่มหรือสายโซ่ ฝังอยู่ในเนื้อเยื่อ
ใกล้กับหลอดเลือด ทำหน้าที่กรองน้ำเหลืองที่มีเชื้อโรค เช่น แบคทีเรีย ไวรัส
เศษซากของเซลล์ที่ตายแล้ว ก่อนจะลำเลียงน้ำเหลืองกลับเข้าสู่เส้นเลือดดำ นอกจากนี้
ต่อมน้ำเหลืองยังสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวที่เรียกว่า ลิมโฟไซต์ (Lymphocyte)
ชนิด T-Cell และ B-Cell ซึ่งดักจับและทำลายแบคทีเรียหรือไวรัสได้
หากมีเศษซากของเซลล์ที่ตายแล้วหรือเชื้อโรคถูกลำเลียงผ่านต่อมน้ำเหลือง
พวกมันจะตรวจสอบและมีการผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวมากขึ้นเมื่อมีการติดเชื้อ ซึ่งเป็นสาเหตุให้ต่อมน้ำเหลืองบวมหรือโตขึ้นนั่นเอง
- ต่อมไทมัส (Tymus) เป็นอวัยวะน้ำเหลืองที่อยู่บริเวณหลังกระดูกหน้าอก
เหนือหัวใจ ทำหน้าที่สำคัญคือ เก็บเม็ดเลือดขาวลิมโฟไซต์ที่ยังไม่โตเต็มที่
และหลังฮอร์โมนไทโมซิน (Thymosin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยกระตุ้นการแบ่งเซลล์เซลล์เม็ดเลือดขาวลิมโฟไซต์
ชนิด T-Cell และปรับสภาพให้เจริญเติบโตได้เต็มที่
เพื่อช่วยจัดการกับเซลล์ที่ติดเชื้อหรือเซลล์มะเร็ง
- ม้าม (Spleen) เป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดในระบบน้ำเหลือง
อยู่บริเวณข้างซ้ายใต้กระเพาะอาหาร เหนือไต ทำหน้าที่ทั้งเก็บสะสมและทำลายเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาวที่หมดอายุโดยวิธีฟาโกไซโทซิส
(Phagocytosis) ซึ่งทำให้สามารถควบคุมและเพิ่มจำนวนของเซลล์เม็ดเลือดแดงได้อย่างรวดเร็วหากมีการสูญเสียเม็ดเลือดแดงไป
นอกจากนี้ม้ามยังช่วยคัดกรองเลือด เศษซากเซลล์
รวมถึงเชื้อโรค และทำหน้าที่คล้ายกับต่อมไทมัส คือ
สร้างและช่วยในการเจริญเติบโตของเม็ดเลือดขาวลิมโฟไซต์
ทำลายเชื้อโรคและเซลล์ที่ตายแล้วที่อยู่ในเลือด หากม้ามตรวจจับพบแบคทีเรีย ไวรัส
หรือจุลชีพที่มีอันตรายในเลือดหรือตามต่อมน้ำเหลือง
มันก็จะสร้างเม็ดเลือดขาวลิมโฟไซต์มาต่อสู้กับผู้รุกราน และหยุดการแพร่กระจายเชื้อ
หากสูญเสียม้ามไปจากโรคร้ายหรือได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุต่าง ๆ
เราก็ยังคงมีชีวิตต่อไปได้ แต่จะติดเชื้อง่ายกว่าคนปกติที่ยังมีม้ามอยู่
- ต่อมทอนซิล (Tonsils) อยู่บริเวณหลังลำคอ
เปรียบเสมือนต่อมน้ำเหลืองต่อมหนึ่ง
โดยเป็นด่านแรกของระบบภูมิคุ้มกันที่คอยดักจับเชื้อโรคที่จะเข้าสู่ทางเดินอาหารผ่านปาก
และทางเดินหายใจผ่านจมูก
ต่อมทอนซิลเป็นที่อยู่ของเม็ดเลือดขาวลิมโฟไซต์และแมกโครฟาจ
หากมีการเพิ่มขนาดของต่อมทอนซิลอาจจะทำให้นอนกรนหรือหายใจลำบากได้
ระบบประสาทของมนุษย์ แบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ ๆ
ได้แก่
1. ระบบประสาทส่วนกลาง (Central Nervous
System, CNS)
ประกอบด้วย สมองและไขสันหลัง ซึ่งมีเยื่อหุ้ม (meninges)
3 ชั้น เพื่อป้องกันการกระทบกระเทือนของสมอง
โดยสมองจะมีกะโหลกศีรษะปกป้องอีกชั้นหนึ่ง
ส่วนไขสันหลังก็มีกระดูกสันหลังปกป้องไว้เช่นกัน
1.1 สมอง สมองของผู้ใหญ่มีน้ำหนักประมาณ
1.3-1.4 กิโลกรัม รูปร่างคล้ายเห็ด ในช่วงที่เป็นตัวอ่อน (embryo) จะถูกแบ่งเป็น
3 บริเวณ ได้แก่ สมองส่วนหน้า (forebrain) สมองส่วนกลาง (midbrain) และสมองส่วนหลัง
(hindbrain)
1) สมองส่วนหน้า (forebrain) เจริญไปเป็น
- ซีรีบรัม (cerebrum) ทำหน้าที่ควบคุมความคิด
ความจำ ความรู้สึกต่าง ๆ
- ทาลามัส (thalamus) เป็นศูนย์รวมกระแสประสาทที่มาจากส่วนต่าง
ๆ ของร่างกายเข้าสู่สมองและไขสันหลัง
- ไฮโพทาลามัส (hypothalamus) ทำหน้าที่ควบคุมการหลั่งฮอร์โมน
การนอนหลับ ความหิว การรักษาสมดุลของร่างกาย เช่น อุณหภูมิในร่างกาย
2) สมองส่วนกลาง (midbrain) เจริญไปเป็น
- บางส่วนของก้านสมอง (brainstem) โดยก้านสมองทั้งหมดจะประกอบไปด้วย
เมดัลลาออบลองกาตาและพอนส์ซึ่งอยู่ในบริเวณของสมองส่วนหลัง และมิดเบรน
- มิดเบรน (midbrain) เป็นส่วนที่อยู่เหนือ
brainstem ควบคุมการเคลื่อนไหวของลูกตา
3) สมองส่วนหลัง (hindbrain) เจริญไปเป็น
- พอนส์ (pons) ควบคุมการเคี้ยว
การกลืน การหลั่งน้ำลาย และการแสดงสีหน้า
- เมดัลลาออบลองกาตา (medulla
oblongata) ทำหน้าที่ควบคุมการหายใจ การเต้นของหัวใจ
และเป็นศูนย์กลางของระบบประสาทอัตโนมัติ (ANS) โดยทำงานร่วมกับไฮโพทาลามัส
- ซีรีเบลลัม (cerebellum) ทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย
การทรงตัว
1.2 ไขสันหลัง หากตัดไขสันหลังตามขวาง
จะเห็นพื้นที่หน้าตัดเป็นลักษณะคล้ายผีเสื้อ โดยแบ่งบริเวณออกเป็น 2 บริเวณ คือ
ส่วนที่เป็นเนื้อสีเทา (Gray matter) ซึ่งเป็นบริเวณที่มีเซลล์ประสาทจำนวนมากอยู่รวมกันที่ด้านในของไขสันหลัง
และส่วนที่เป็นเนื้อสีขาว (White matter) ซึ่งเป็นบริเวณที่มีเส้นประสาทหุ้มด้วยเยื่อไมอิลินอยู่เป็นจำนวนมาก
สีขาวที่พบในบริเวณนี้เป็นสีของปลอกไมอิลิน (myelin sheath) นั่นเอง
2. ระบบประสาทรอบนอก (Peripheral Nervous
System, PNS)
ประกอบไปด้วย
2.1 cranial nerve 12
คู่ ซึ่งเป็นเส้นประสาทที่มาจากสมอง
2.2 spinal nerve 31
คู่ ซึ่งเป็นเส้นประสาทที่มาจากไขสันหลัง
นอกจากนี้ระบบประสาทรอบนอกยังรวมไปถึง peripheral
ganglia, sympathetic และ parasympathetic ganglia และ
enteric nervous system ซึ่งเป็นระบบประสาทภายในระบบทางเดินอาหาร
ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของระบบทางเดินอาหารด้วย
ประสาทสมองสมอง12 คู่ มีดังนี้
เส้นประสาทสมองคู่ที่ 1 เส้นประสาทออลแฟกทอรี(olfactory nerve)
รับความรู้สึกเกี่ยวกับกลิ่น
เส้นประสาทสมองคู่ที่ 2 เส้นประสาทออพติก(optic nerve) รับความรู้สึกเกี่ยวกับการมองเห็นจากเรตินาของลูกตา
เส้นประสาทสมองคู่ที่ 3 เส้นประสาทออคิวโลมอเตอร์(oculomotor
nerve) เป็นเส้นประสาทสั่งการจากสมองส่วนกลางไปยังกล้ามเนื้อลูกตา
4 มัด ทำให้ลูกตาเคลื่อนไหวกลอกตาไปมาได้ และยังไปเลี้ยงกล้ามเนื้อที่ทำให้ลืมตา
ทำให้ม่านตาหรี่หรือขยายและไปยังกล้ามเนื้อปรับเลนส์ตาอีกด้วย
เส้นประสาทสมองคู่ที่ 4 เส้นประสาททรอเคลีย(trochlea nerve) เป็นเส้นประสาทสั่งการไปยังกล้ามเนื้อลูกตาทำให้ลูกตามองลงและมองไปทางหางตา
เส้นประสาทสมองคู่ที่ 5 เส้นประสาทไตรเจอมินัล(trigerminal
nerve) แบ่งออกเป็น 3 แขนง
ทำหน้าที่รับความรู้สึกจากใบหน้า ลิ้นฟัน ปากเหงือก
กลับเข้าสู่สมองส่วนพาเรียทัลโลบ
ทำหน้าที่สั่งการไปควบคุมกล้ามเนื้อที่เกี่ยวกับการเคี้ยวอาหาร
เส้นประสาทสมองคู่ที่ 6 เส้นประสทแอบดิวเซนส์(abducens nerve) เป็นเส้นประสาทสั่งการออกจากพอนส์ไปยังกล้ามเนื้อลูกตาทำให้เกิดการชำเลือง
เส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 เส้นประสาทเฟเชียล(facial nerve) เป็นเส้นประสาทที่สั่งการไปยังกล้ามเนื้อหน้าทำให้เกิดสีหน้าต่างๆกัน
และยังเป็นเส้นประสาทรับความรู้สึกรับรสจากปลายลิ้นเข้าสู่ซีรีบรัมส่วนพาเรียทัลโลบด้วย
เส้นประสาทสมองคู่ที่ 8 เส้นประสาทออดิทอรี(auditoty nerve) เส้นประสาทรับความรู้สึกแยกเป็น
2 แขนง
แขนงหนึ่งจากคอเคลียของหูทำหน้าที่เกี่ยวกับการได้ยินเข้าสู่ซีรีบรัมส่วนเทมพอรัลโลบอีกแขนงหนึ่งนำความรู้สึกเกี่ยวกับการทรงตัวจากเซมิเซอร์คิวลาร์แคแนล
เข้าสู่ซีรีบรัม
เส้นประสาทสมองคู่ที่ 9 เส้นประสาทกลอสโซฟารินเจียล(glossopharyngeal
nerve) เป็นประสาทรับความรู้สึกจากช่องคอ เช่น ร้อน
เย็น และรับรสจากโคนลิ้นเข้าสู่ซีรีบรัม
ส่วนพาเรียทัลโลบและนำกระแสประสาทสั่งการจากสมองไปยังกล้ามเนื้อบริเวณคอหอยที่เกี่ยวกับการกลืน
และต่อมน้ำลายให้หูให้หลั่งน้ำลาย
เส้นประสาทสมองคู่ที่ 10 เส้นประสาทเวกัส(vegus nerve) เป็นเส้นประสาทรับความรู้สึกจากลำคอ
กล่องเสียง ช่องอก ช่องท้อง ส่วนเล้นประสาทสั่งการจะออกจากเมดัลลาออบลองกาตา
ไปยังกล้ามเนื้อลำคอ กล่องเสียง อวัยวะภายในช่องปาก และช่องท้อง
เส้นประสาทสมองคู่ที่ 11 เส้นประสาทแอกเซสซอรี(accessory nerve)
เป็นเส้นประสาทสั่งการจากเมดัลลาออบลองกาตาและไขสันหลังไปยังกล้ามเนื้อคอ
ช่วยในการเอียงคอและยกไหล่
เส้นประสาทสมองคู่ที่ 12 เส้นประสาทไฮโพกลอสวัล(hypoglossal
nerve) เป็นเส้นประสาทสั่งการไปยังกล้ามเนื้อลิ้นทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของลิ้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น