คัมภีร์ทางการแพทย์แผนไทย ตอนที่หนึ่ง...เอกสารสำหรับแอพพิเคชั่นอ่านออกเสียงนักเรียนผู้พิการทางการมองเห็น(หลักสูตรผู้ช่วยแพทย์)

 คัมภีร์ทางการแพทย์แผนไทย.

ประวัติการแพทย์แผนไทย

1.สมัยพุทธกาล โดยหมอชีวกโกมารภัจจ์ (เป็นการนำการแพทย์อินเดียในยุคนั้นของสำนักทิศาปาติโมกข์ มาประจักษ์โดยหลักของพระพุทธศาสนา และจากการรักษาของหมอชีวกฌกมารภัจจ์เอง)

2.สมัยอาณาจักรขอม ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันต์ที่เจ็ด(พอสอหนึ่งพันเจ็ดร้อยยี่สิบห้า ถึงพอศอหนึ่งพันเจ็ดร้อยยี่สิบเก้า) เข้ามาในลักษณะของการแพร่ของศาสนาพุทธนิกายมหายาน ได้มีการสร้างสถานพยาบาลขึ้นในสถานที่ต่างต่าง หรืออโรคยศาลา จำนวน หนื่งร้อยสองแห่ง และมีหมอ พยาบาล เภสัชฯเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างต่างรวมกันเก้าสิบสองคน และการสร้างพระพุทธเจ้าไภษัชคุรุไวฑูรประภา พระพุทธเจ้าแห่งการแพทย์(การแพทย์พุทธาราม ผสมผสานการแพทย์พื้นเมืองอาณาจักรขอม)

3.สมัยอาณาจักรสุโขทัย เป็นการสืบต่อการแพทย์ของสมัยอาณาจักรขอม จากศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ได้บันทึกไว้ว่า ทรงสร้างสวนสมุนไพรขนาดใหญ่บนเขาหลวงหรือเขาสรรพยา เพื่อให้ราษฎรได้เก็บสมุนไพรไปใช้รักษาโรคยามเจ็บป่วย

4.สมัยอยุธยาในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พบว่า มีหมอหลวงในราชสำนัก จาก“ทำเนียบศักดินาข้าราชการฝ่ายทหารและพลเรือน” ที่ตราขึ้นในปี พ.ศ.1998 ระบุว่า มีข้าราชการในกรมแพทยา โรงพระโอสถ กรมหมอยา กรมหมอนวด กรมยาตา กรมหมอวรรณโรค

และสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พบบันทึกว่า มีระบบการจัดหายาที่ชัดเจน สำหรับประชาชนจะมีแหล่งจำหน่ายยาและสมุนไพรหลายแห่งทั้งในและนอกกำแพงเมือง  มีตำรับยาซึ่งถือได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์การแพทย์แผนไทย ชื่อว่า “ตำราพระโอสถพระนารายณ์” เป็นการรวบรวมตำรับยาที่หมอในราชสำนักปรุงถวายพระมหากษัตริย์ในยุคนั้น มีการอธิบายสมุฏฐานแห่งโรคตามหลักทฤษฎีธาตุทั้งสี่ โดยกล่าวอ้างอิงถึงคัมภีร์มหาโชติรัตน์และคัมภีร์โรคนิทานซึ่งถือกันว่าเป็นคัมภีร์แพทย์ที่สืบทอดมาแต่โบราณกาล ในตำราพระโอสถพระนารายณ์ยังระบุว่า หมอในราชสำนักที่ปรุงยาถวายพระมหากษัตริย์มีทั้งสิ้น 9 คน เป็นหมอสยาม 5 คน ที่เหลือเป็นหมอจีน 1 คน หมอแขก 1 คน และหมอฝรั่ง 2 คน โดยในจำนวนนี้เป็นหมอหลวงที่รับราชการ 7 คนและหมอที่มิได้รับราชการ 2 คน

5.ยุครัตนโกสินทร์

สมัยรัชกาลที่  1 ได้ทรงปฏิสังขรณ์วัดโพธารามหรือวัดโพธิ์เป็นพระอารามหลวงโดยให้ชื่อว่า วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม  ทรงให้รวบรวมและจารึกตำรายาและฤาษีดัดตน ตำรานวดแผนไทยไว้ตามศาลาราย มีการจัดตั้งกรมหมอโรงพระโอสถ ผู้รับราชการเรียกว่า “หมอหลวง” ซึ่งเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการดูแลพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ หมอหลวงแบ่งเป็นฝ่ายในและฝ่ายนอก หมอหลวงฝ่ายใน มีหน้าที่ดูแลพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ที่อยู่ในพระบรมมหาราชวังตลอดจนข้าราชบริพารผู้ที่เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย หมอหลวงฝ่ายนอกมีหน้าที่ดูแลพระบรมวงศานุวงศ์ซึ่งไม่ได้อยู่ในพระบรมมหาราชวังชั้นใน

สมัยรัชกาลที่ 2 ทรงให้รวบรวมคัมภีร์แพทย์ที่กระจัดกระจายมารวบรวมไว้ ณ โรงพระโอสถ และให้กรมหมอหลวงคัดเลือกจดเป็นตำราหลวง สำหรับโรงพระโอสถเพื่อประโยชน์ของประชาชน ในปีพ.ศ. 2359 มีพระราชโองการโปรดเกล้าให้ตรากฎหมาย ชื่อกฎหมายพนักงานพระโอสถถวาย ให้อำนาจพนักงานมีอำนาจออกไปค้นหาพระโอสถ คือ สมุนไพร ที่ปรากฎมีอยู่ในแผ่นดิน ผู้ใดจะคัดค้านมิได้ พนักงานพระโอสถจึงมีอำนาจในการค้นหายา และมักจะเป็นผู้ที่อยู่ในตระกูลสืบทอดกันมาเท่านั้น

สมัยรัชกาลที่ 3 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระยาบำเรอราชแพทย์ ที่เป็นแพทย์ประจำราชสำนัก เป็นแม่กองจัดประชุมหมอหลวงแต่งตำราและบันทึกตำรายาแผนโบราณต่างๆ พร้อมทั้งได้ทรงบูรณะปฏิสังขรณ์วัดราชโอรสาราม และจารึกตำราไว้ในแผ่นศิลา ตามเสาระเบียงพระวิหาร รวมทั้งทรงปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนวิมมังคลาราม (วัดโพธิ์) อีกครั้ง ให้จารึกตำรายาไว้บนหินอ่อนประดับไว้ตามผนังโบสถ์ ศาลาราย รอบเจดีย์สี่องค์ของวัด เป็นตำราบอกสมุฏฐานของโรค และวิธีบำบัด ทรงให้นำสมุนไพรที่ใช้ปรุงยาและหายากมาปลูกไว้ ทั้งให้ปั้นรูปฤาษีดัดตนในท่าต่างๆ เพื่อให้ราษฎรได้ศึกษาและนำไปใช้ในการรักษาตน โดยมิหวงห้ามไว้ในตระกูลใด นับได้ว่าเป็นโรงเรียนแพทย์แผนโบราณแห่งแรก คือ "วิทยาลัยการแพทย์แผนโบราณวัดโพธิ์"

สมัยรัชกาลที่ 5  ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างโรงเรียนแพทยากรขึ้นที่ศิริราชพยาบาล ในปี พ.ศ. 2433  เพื่อจัดการสอนเรื่องแพทย์ มีหลักสูตร 3 ปี  การเรียนมีทั้งวิชาแพทย์แผนตะวันตก และแพทย์แผนไทย ในส่วนของแผนไทยนั้น  มีหม่อมเจ้าเจียก ทินกร เจ้ากรมแพทย์สำนักพระราชวังหลวงเป็นอาจารย์สอน  มีการพิมพ์ตำราแพทย์สำหรับใช้ในโรงเรียนเล่มแรก คือ แพทยศาสตร์-สงเคราะห์ (ฉบับหลวง) ในปี พ.ศ. 2438 เนื้อหามีทั้งการแพทย์แผนตะวันตกและแผนไทย ซึ่งแผนไทยนั้นนอกจากจะใช้ตำราหลวงในหอสมุดวชิรญาณเรียนแล้ว ภาควิชาหัตถศาสตร์ หรือตำรานวดแบบหลวง ทรงโปรดเกล้าให้แพทย์หลวงชำระและแปลตำราแพทย์จากบาลี สันสกฤตเป็นภาษาไทย ต่อมาหม่อมเจ้าปราณีได้เรียบเรียงตำราขึ้นใหม่ให้อ่านเข้าใจได้ง่ายขึ้น มีตำราธาตุวินิจฉัย สมุฏฐานวินิจฉัย ธาตุอภิญญาณ  อสุรินทญาณธาตุ ปฐมจินดา โรคและยาต่าง ๆ หลักสูตรการเรียนการสอนของโรงเรียนแพทย์ที่มีการเรียนแผนไทยร่วมด้วย มีระยะเวลาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2436 จนถึง พ.ศ. 2458

สมัยรัชกาลที่ 6 ถือว่าเป็นช่วงตกต่ำของวงการแพทย์แผนไทย หรือการแพทย์แผนโบราณ มีการแก้ไขปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาของแพทย์ มีการยกเลิกการเรียนวิชาการแพทย์ไทย 

สมัยรัชกาลที่ 7 มีประกาศ พ.ร.บ.การแพทย์ พ.ศ.2466 และออกกฎเสนาบดี พ.ศ.2472 แบ่งการประกอบโรคศิลปะ เป็นแผนปัจจุบันและแผนโบราณ กำหนดว่า 

ก. ประเภทแผนปัจจุบัน คือ ผู้ประกอบโรคศิลปะ โดยความรู้จากตำราอันเป็นหลักวิชาโดยสากลนิยม ซึ่งดำเนินและจำเริญขึ้น อาศัยการศึกษา ตรวจค้น และทดลองของผู้รู้ ในทางวิทยาศาสตร์ทั่วโลก

 ข. ประเภทแผนโบราณ คือ ผู้ประกอบโรคศิลปะ โดยอาศัยความสังเกตความชำนาญ อันได้บอกเล่าสืบต่อกันมาเป็นที่ตั้ง หรืออาศัยตำราที่มีมาแต่โบราณ มิได้ดำเนินไปทางวิทยาศาสตร์ 

การออกกฏเสนาบดีนี้เป็นเหตุให้การแพทย์แผนไทยหรือการแพทย์แผนโบราณแยกขาดจากกันอย่างสิ้นเชิง และทำให้มีการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบโรคศิลปะแผนโบราณเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์

สมัยรัชกาลที่  8   มีการยกเลิก พ.ร.บ.การแพทย์ พ.ศ.2466 แล้วตรา พ.ร.บ.ควบคุมการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ.2479 ขึ้นมาใช้แทน 

สมัยรัชกาลที่ 9 ในปี พ.ศ. 2498 สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณสมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณณสิริ) ได้ก่อตั้งโรงเรียนแพทย์แผนโบราณขึ้น เพื่อเป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ด้านการแพทย์แผนโบราณ มีการสอนทั้งวิชาเภสัชกรรม, เวชกรรม และการผดุงครรภ์ไทย และการนวดแผนโบราณ ตามกระแสรับสั่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ปีพ.ศ. 2542 มีการประกาศ พ.ร.บ.การประกอบโรคศิลปะ พ.ศ.2542 ที่มีการแก้ไขสาระสำคัญหลายประการที่เอื้อต่อการพัฒนาการแพทย์แผนไทยมากขึ้น เช่น เปลี่ยนชื่อการประกอบโรคศิลปะแผนโบราณเป็นการแพทย์แผนไทย

ในปีพ.ศ. 2524 ศ.นพ.อวย เกตุสิงห์ ได้ก่อตั้งอายุรเวทวิทยาลัยขึ้น เพื่อผลิตแพทย์แผนโบราณรุ่นใหม่ โดยสอนความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพควบคู่ไปกับวิชาการแพทย์แผนโบราณ สอนทั้งเวชกรรม เภสัชกรรม การผดุงครรภ์ และการนวดแบบราชสำนัก ซึ่งหลักสูตรใช้เวลาศึกษา 3 ปี และแพทย์แผนไทยประยุกต์ที่เรียนจบหลักสูตรนี้สามารถสอบใบประกอบโรคศิลปะได้

พ.ศ. 2528 ถือได้ว่าเป็นจุดเปลื่ยนของวงการแพทย์แผนไทย   จากการที่กลุ่มศึกษาปัญหายา มูลนิธิสาธารณสุขกับการพัฒนา มูลนิธิหมอชาวบ้าน คณะกรรมการประสานงานองค์กรเอกชนเพื่อการสาธารณสุขมูลฐาน ร่วมกับ สมาคมแพทย์แผนโบราณต่าง ๆ ได้จัดสัมมนาฟื้นฟูการนวดไทยเป็นครั้งแรก และได้ก่อตั้ง โครงการฟื้นฟูการนวดไทย เพื่อทำกิจกรรมรณรงค์เผยแพร่การนวดไทยแก่ประชาชนให้สามารถนำไปใช้เพื่อทดแทนการใช้ยาแก้ปวดเกินจำเป็น เสริมศักยภาพของหมอนวดไทยจากสำนักต่าง ๆ รวมทั้งหมอนวดอิสระ โครงการนี้มีส่วนทำให้มีการใช้การนวดไทยแพร่หลายมากขึ้นในหมู่ประชาชนและมีการนำการนวดไทยไปใช้ในสถานบริการสาธารณสุขของรัฐในเวลาต่อมา  ประกอบกับกระทรวงสาธารณสุข ได้จัดทำโครงการสมุนไพรกับการสาธารณสุขมูลฐาน โดยความร่วมมือของประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐ เยอรมัน เน้นการทดลองใช้ สมุนไพร 5 ชนิดในคลินิกของโรงพยาบาลชุมชน 5 แห่ง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในการใช้ยาสมุนไพรและยาแผนไทยในสถานบริการสาธารณสุขของรัฐในเวลาต่อมาด้วยเช่นกัน

พ.ศ. 2532 กระทรวงสาธารณสุข โดยมติเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ได้จัดตั้งศูนย์ประสานงานการพัฒนาการแพทย์และเภสัชกรรมแผนไทย สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เพื่อทำหน้าที่วางนโยบายและแนวทางเกี่ยวกับการพัฒนาการแพทย์แผนไทย เอื้ออำนวย ประสานงาน และให้การสนับสนุนการดำเนินงานของหน่วยงานและสถาบันต่าง ๆ ให้เป็นไปในทิศทางที่เหมาะสม ศูนย์ประสานงานฯ ที่เกิดขึ้นนี้ ได้เริ่มวางรากฐานการพัฒนาการแพทย์แผนไทยโดยการประสานความร่วมมือจากฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ เอกชน และฝ่ายวิชาชีพ ต่อมาในปี พ.ศ.2536 หน่วยงานนี้ได้โอนไปรวมกับสถาบันการแพทย์แผนไทย  ซึ่งจัดตั้งขึ้นในสังกัดกรมการแพทย์ ต่อมาได้ย้ายไปสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกตามลำดับ

การแพทย์แผนไทยได้แบ่งออกเป็น 4 สาขา คือ

1.สาขาเวชกรรมไทย การตรวจ การวินิจฉัย การบ าบัดหรือการป้องกันโรค ด้วยกรรมวิธีการแพทย์แผนไทย

2.สาขาเภสัชกรรมไทย เป็นการเตรียมยา การผลิตยาแผนไทย ด้วยกรรมวิธีการแพทย์แผนไทย

3.สาขาผดุงครรภ์ไทย เป็นการดูแลสุขภาพของมารดาและเด็กในครรภ์ ตั้งแต่ก่อนคลอด การทำคลอด พร้อมทั้งการดูแลและส่งเสริมสุขภาพมารดาและเด็กในระยะหลังคลอด

4.สาขาการนวดไทยการตรวจประเมิน การวินิจฉัย การบ าบัด การป้องกันโรค การส่งเสริมและการฟื้นฟูสุขภาพ ด้วยวิธีการกด การคลึง การบีบ การจับ การดัด การดึง การประคบ การอบ หรือวิธีการอื่นตามศิลปะการนวดไทย หรือการ ใช้ยาตามกฎหมายว่าด้วยยา ทั้งนี้ ด้วยกรรมวิธีการแพทย์แผนไทย

    คุณธรรมอันเป็นเครื่องประดับของหมอ 

     คนที่เป็นหมอใช่จะมีแต่วิชาความรู้เรื่องยา เรื่องนวด หรือรู้จักโรคเท่านั้น หมอควรต้องเป็นคนมี อัธยาศัยเรียบร้อย เป็นที่พอใจของคนทั้งหลายด้วย จึงจะเป็นหมอที่ดีได้ ถ้าเป็นแต่รู้วิชาของหมอแต่ไม่เป็นผู้มีใจอารีโอบอ้อมต่อคนทั้งหลายแล้ว ก็ไม่มีใครนับถือ ย่อมทำความรู้ของตนเองให้เสื่อมไปด้วย ไม่มีใครหา ไปรักษา ลาภผลจะมีมาแต่ไหน เพราะฉะนั้นหมอจึงต้องเป็นคนมีอัธยาศัยดี

หมอที่ดีนั้นย่อมประกอบด้วยคุณธรรมเหล่านี้ คือ

1. มีเมตตาจิตแก่คนไข้ ด้วยคนไข้อันได้รับความทุกข์เวทนาครอบงำอยู่ในใจอยู่แล้วไม่มากก็น้อย มีจิตและการคิดหวังพึ่งหมอ หมอไปถึงก็ดีใจอยากจะได้ฟังคำอธิบายชี้แจงอาการโรคของตนให้เข้าใจแจ่มแจ้งจากหมอ  ถ้าหมอนั้นเป็นผู้ที่มีเมตตาปรานีให้คนไข้เป็นที่ชื่นชมยินดีแล้ว ความสุขโสมนัสก็จะบังเกิดมีแก่ คนไข้ เป็นทางที่จะบรรเทาไข้ใจให้หมดหรือน้อยลงไปได้  และจะเชื่อถ้อยฟังคำของหมอผู้นั้นด้วย เมื่อ ความวิตกอันเป็นทุกข์ในใจเบาบางลง น้ำเลี้ยงหัวใจก็จะผ่องใส โรคที่มีอยู่ในกายก็จะพลันหายได้โดยไม่ช้าวันนัก คนไข้ที่หายนั้นก็จะเคารพนับถือหมอนั้นต่อไปเป็นอานิสงส์อีกส่วนหนึ่ง

 แต่ถ้าหมอนั้นเป็นคนโหดเหี้ยม ไม่มีเมตตาจิตแก่คนไข้แล้ว ย่อมไม่เป็นที่ยินดีของคนไข้ ความวิตกก็มีอยู่ร่่ำไป นับว่าเป็นไข้บังเกิดเพิ่มขึ้นอีกส่วนหนึ่งด้วย  เป็นเหตุที่จะให้โรคที่มีอยู่ในร่างกายนั้นกำเริบขึ้นได้ พอที่จะหายได้เร็วก็เป็นช้านานวันไป หรือบางทีไข้ทรุดหนักลง ทำให้ยากแก่การรักษาพยาบาล เพราะฉะนั้นเมตตาจิตจึงเป็นคุณธรรมเกื้อกูลแก่หมอและคนไข้ด้วย ควรที่หมอจะตั้งเมตตาจิตไว้ใน สันดาน นี่จัดว่าเป็นเครื่องประดับของหมอประการหนึ่ง


2. ไม่เห็นแก่ลาภ ลาภผลที่จะได้แก่ตนนั้น ย่อมเป็นที่ปรารถนาเป็นที่ยินดีด้วยกันทุกคน  แต่บุคคลผู้มี อัธยาศัยเรียบร้อย ต้องตั้งตนให้เป็นที่นับถือของคนทั้งหลายแล้ว ย่อมไม่เพ่งเล็งเอาด้วยอุบายหรือ กดขี่หลอกลวงเลย เมื่อมีผู้คนหาหมอไปรักษาไข้ ควรตั้งใจเสียก่อนว่าจะไปรักษาให้หายเพื่อเอาชื่อเสียง รักษาโดยสุจริต เมื่อผู้นั้นหายไข้แล้ว ขวัญข้าวค่ายาย่อมมีอยู่เอง ถึงหากว่าตามธรรมดาเคยได้เท่านั้นเท่านี้ ถ้าคนที่ขัดสนจะให้เท่านั้นไม่ได้หรือไม่มีจะให้เลย ก็ไม่ควรจะเพิกถอนละเมินเสีย   ควรจะช่วยอนุเคราะห์ด้วยเมตตาจิตเป็นที่ตั้ง คือได้เท่าไหร่ก็เอาเพียงแค่นั้น หรือไม่ได้เลยก็ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรเราก็ยังคงมีจิตใจเป็นกุศลดีอยู่นั่นเอง คุณความดีอันนี้ก็จะมีแก่ตน คนทั้งหลายจะเคารพนับถือ ลาภผลก็คงจะได้มาภายหลังเป็นแน่ 

     แต่ถ้าหมอเป็นคนมีความโลภเห็นแก่ลาภอยู่เป็นนิตย์ เป็นต้นว่ารักษาไข้พอที่จะหายได้ในไม่ช้าวันก็ แกล้งหน่วงเหนี่ยวไว้ให้หายช้า หรือไข้เป็นอย่างที่ไม่น่าตกอกตกใจก็บอกไปเสียอย่างหนึ่ง เพื่อให้คนไข้ตกใจ หรือคิดอุบายแต่จะได้ขวัญข้าวค่ายา ค่าป่วยการให้มากด้วยประการใด ๆ ประการหนึ่ง

3. ไม่เป็นคนโอ้อวด ผู้ที่แสดงคำโอ้อวดให้เกินกว่าความรู้ของตน เป็นต้นว่ารักษาไข้อะไรหายสักรายหนึ่ง ก็เอาขึ้นตั้ง ไปที่ไหนก็อวดร่ำไป ความรู้จริงแก่ใจไม่รู้ถึง แต่พูดเกินกว่าความรู้ ไปพบคนไข้ที่ตนพูดว่ารู้เข้า แต่รักษาไม่ได้ เขาจะเรียกว่าเป็นหมอไม่มีภูมิ  ย่อมเป็นที่หมิ่นประมาทแก่คนทั้งหลาย ต่อไปไม่มีใครเชื่อถือ เลยพาให้ความรู้ที่มีอยู่เสื่อมไปด้วย  เพราะฉะนั้นเป็นข้อที่ควรต้องระวัง ถ้าพูดตามความที่ได้เรียนรู้อาจจะทำได้จริง ก็ไม่นับเป็นคนโอ้อวด แต่ถึงดังนั้นต้องพูดได้ในเมื่อถึงคราวที่จะพูด ถ้าเอาไปพูดเสียร่ำไป ก็ตกอยู่ในฐานะเป็นคนโอ้อวด พาให้เสื่อมเสียความเชื่อถือได้เหมือนกัน ที่จริงความรู้ที่มีอยู่ในตนนั้น ไม่จ าเป็นต้องโอ้อวดอะไร สุดแต่ถึงคราวที่ต้องใช้ก็ทำได้ให้ปรากฏแก่คนทั้งหลาย แล้วกิตติศัพท์ความเลื่องลือก็จะปรากฏขึ้นเอง ย่อมจะเป็นที่เชื่อถือยำเกรงของคนทั้งหลายด้วย ความไม่โอ้อวดนี้จัดเป็นเครื่องประดับของหมอประการหนึ่ง 

4. ไม่ปิดบังความเขลาของตนไว้ เมื่อได้ตรวจดูคนไข้ พิเคราะห์กิริยาอาการตลอดแล้วจะต้องเข้าใจว่า เป็นโรคอะไร เกิดขึ้นเพราะอะไร สามารถที่จะรักษาพยาบาลให้หายได้หรือไม่ ถ้าตกลงว่าจะรับรักษาให้ หายได้ จึงรับรักษาพยาบาลตามความรู้ความสามารถของตน ถ้าไปพบปะไข้ที่ตนไม่เคยรักษา หรือ ความรู้ของตนไม่เพียงพอที่จะรักษาได้ ก็พึงแสดงให้เจ้าของไข้เขารู้เสียแต่ต้นมือ เพื่อเขาจะได้ไปหาหมออื่น รักษา ถ้าจะให้ดีตนรู้ว่าใครจะรักษาได้ ก็แนะนำบอกให้เขาด้วยก็จะเป็นที่ยินดีของเจ้าของไข้ ถึงหากว่าไข้นั้น ไม่หายเพราะตนรักษาก็ดี ตนก็ย่อมจะได้ความนิยมนับถือไป ว่าเป็นคนไม่ปิดบังความเขลาของตนเองไว้ ถ้ารักษาไข้เขาด้วยความที่ไม่เข้าใจ ไข้ก็จะทรุดหนักลง ที่สุดจะถึงอันตรายแก่ชีวิตก็จะเป็นได้ เมื่อเป็น เช่นนี้หมอนั้นจะได้รับความติเตียนของคนทั้งหลาย แล้วเป็นทางที่จะเสื่อมเสียจากลาภผล เพราะฉะนั้น ความที่ไม่ปิดบังความเขลาไว้ จึงจัดเป็นเครื่องประดับของหมอประการหนึ่ง 

5. ไม่ปิดบังความดีของผู้อื่น เมื่อได้ยินได้ฟังเขาสรรเสริญคุณวิชาของผู้อื่น ควรทำอัธยาศัยแช่มชื่น สรรเสริญตามเขา เมื่อผู้นั้นชอบอัธยาศัยของเราดังนี้ ย่อมมีจิตรักใคร่จะเป็นมิตรกับเราบ้าง คุณธรรมอันนี้ ย่อมเป็นทางสืบสนธิ์ในสามัคคีรส ซึ่งนักปราชญ์ทั้งหลายย่อมกล่าวสรรเสริญว่าเป็นกัลยาณธรรม นำมาซึ่งความสุขแก่ตน จึงเป็นคุณธรรมที่บุคคลควรปฏิบัติ และจัดเป็นเครื่องประดับของหมอประการหนึ่ง 

6. ไม่หวงกันลาภผู้อื่น เมื่อตนเป็นหมอไปรักษาไข้  เห็นแล้วว่าลาภผลจะได้แก่ตนแต่ลำพังผู้เดียว  จะทำ การไม่ถนัด ที่ดีควรจะหาพวกพ้องหรือผู้ใดผู้หนึ่งซึ่งมีความรู้มาช่วย  การนั้นจึงจะสำเร็จด้วยดี เช่น ตนเป็นหมอยาจะต้องหาหมอนวดมาช่วยอีกทางหนึ่ง ฉะนี้ แต่ครั้นจะให้เป็นเช่นนั้นก็กลัวว่าลาภที่ตนจะได้นั้น ต้องแบ่งส่วนให้ผู้อื่นไปเสีย จะได้น้อยไปหวงกันไว้ไม่ให้ผู้อื่นเข้ามามีหุ้นส่วน  นี่เป็นข้อที่จะทำอันตรายให้แก่คนไข้   หมอไม่ควรคิดเช่นนี้เลย   ถ้าเห็นทางที่จะเฉลี่ยลาภผลให้แก่ผู้ที่มีความรู้ด้วยกันด้วยประการ ใด ก็ควรจะแสดงความยินดีแผ่เผื่อให้การที่รักษาพยาบาลไข้   ถ้ามีเพื่อนเป็นคู่คิดคู่ปรึกษาช่วยเกื้อกูลซึ่งกันและกันแล้ว  เป็นข้อที่ป้องกันความพลั้งเผลอได้  และอาจที่จะรักษาไข้ให้หายเร็วด้วย   เพราะฉะนั้นการที่ไม่หวงกันลาภคนอื่นนั้นจึงจัดเป็นเครื่องประดับของหมอประการหนึ่ง

7. ไม่ลุอ านาจแก่อคติทั้ง 4 คือ ฉันทะคติ ความรักใคร่พอใจ 1 โทสาคติ ความโกรธ 1 ภยาคติ ความกลัว 1 โมหาคติ ความหลง 1 

        -ฉันทาคติ ความรักใคร่พอใจนั้น คือ ทำความรักใคร่ในบุคคลไม่เสมอกัน บางคนก็ตั้งใจ รักษาพยาบาล บางคนก็เกลียดชัง ไม่รักษาโดยความตั้งใจจะให้โรคหาย 

       - โทสาคติ ความโกรธนั้น คือ ใช้แต่โทสะจิตเป็นเบื้องหน้า ไม่มีใจอันดีต่อคนไข้ ทำอะไรก็จะเอาแต่ ใจของตน ไม่ผ่อนผันตามอัธยาศัยของคนไข้ ให้มีสติอารมณ์เบิกบานบ้างเลย 

       - ภยาคติ ความกลัวนั้น คือ กลัวในสิ่งที่ไม่ควรกลัว เป็นต้นว่า รักษาไข้กลัวเขาจะไม่ให้ขวัญข้าวค่า ยาก็ไม่ตั้งใจรักษา กลัวว่ายาดีที่ทำไว้ถ้าจะให้คนไข้กินอาจจะหายได้ แต่กลัวจะหมดเสีย 

       - โมหาคติ ความหลงนั้น คือ หลงเชื่อตนมีความรู้ดี ไม่ต้องทำอัธยาศัยเผื่อแผ่เป็นมิตรไม่ตรีกับผู้ใด หรือหลงเชื่อว่ายาของตนดี รักษาไข้หายได้โดยไม่ตรวจอาการไข้ก่อนที่วางยา 

 อคติ 4 ประการ ที่กล่าวมานี้ สำหรับผู้ที่เป็นหมอใช้ ไม่เป็นสาธารณะทั่วไป หมอผู้ใดลุอำนาจแก่อคติ 4 ประการนี้แล้ว คุณความดีก็จะมีในตน จึงจัดความไม่ลุอำนาจแก่อคติทั้ง 4 ประการนี้ เป็นคุณธรรมอันเป็นเครื่องประดับของหมอได้ประการหนึ่ง 

8. ไม่หวั่นไหวด้วยโลกธรรม คือ 

8.1ได้ลาภผลสักการะ    คู่กับ    8.2เสื่อมลาภผลสักการะ

8.3 ได้รับการสรรเสริญ    คุ่กับ   8.4ถูกความนินทา 

8.5 ได้ยศศักดิ์                คู่กับ    8.6เสื่อมยศศักดิ์

8.7ได้รับความสุข            คู่กับ   8.8ได้รับความทุกข์

ต้องมีอัธยาศัยหนักแน่น  มัธยัสถ์เป็นปานกลาง ไม่ทำความกระวนกระวาย ขวนขวายยินดียินร้ายเดือดร้อนรำคาญ ซึ่งเป็นเหตุจะทำลายคุณความดีของตน และทำจิตให้พิกลไปจากความเป็นปกติ  เพราะโลกธรรมนี้ย่อมยุยงส่งเสริมบุคคลให้ตกไปในทางที่ชั่วได้   ผู้ที่ไม่หวั่นไหวแก่โลกธรรม จึงเป็นที่สรรเสริญของผู้ที่มีปัญญา จัดว่าเป็นเครื่องประดับของหมอประการหนึ่ง 

9. มีหิริโอตตัปปะ ละอายและสะดุ้งกลัวต่อบาป อันจะเป็นเวรกรรมต่อภพชาติในภายหน้า  ละเว้นจากวิหิงสา พยาบาท อาฆาต จองเวรต่อบุคคลอื่น มีใจอันชุ่มชื้นไปด้วยความกรุณาเป็นเบื้องหน้า นี่จัดเป็นคุณธรรมเครื่องประดับของหมอประการหนึ่ง 

10. ไม่เป็นคนเกียจคร้านและมักง่าย   ตั้งใจอุตสาหะทำการรักษาพยาบาลไข้โดยเต็มกำลัง ใช้ปัญญา พินิจพิจารณาโดยถี่ถ้วน   ถึงเวลาไปตรวจก็ไปตรวจฟังดูอาการ เพื่อคิดประกอบในการรักษา   ความรู้ที่มีอยู่แล้วก็เอาใจใส่สอบสวนให้แจ่มแจ้งเจริญยิ่งขึ้น   สิ่งที่ยังไม่รู้ก็หมั่นศึกษาค้นคว้าหาความรู้ใส่ตนต่อไปมิได้เพิกเฉย   และหมั่นประกอบยาไว้สำหรับรักษาไข้ ในตำราให้เอาอะไรกี่อย่าง  ก็อุตสาหะหามาทำให้ครบกับตำรา  ไม่สักแต่ว่าในตำราให้เอา 10 อย่าง ก็เอาแต่ 5 – 6 อย่าง ด้วยความมักง่าย  ความจริงเครื่องยานั้นถ้าได้ไม่ ครบตามตำรา ที่ท่านวางลงไว้แล้วก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์ และจะโทษว่ายาไม่ดีไม่ได้   เพราะฉะนั้นหมอจึงต้องไม่ควรเป็นคนมักง่าย ตรวจไข้ก็ต้องตรวจโดยถี่ถ้วนเหมือนกัน ถ้าเป็นแต่มียาไม่ตรวจไข้ให้ต้องกับยาแล้ว ยานั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไร ไข้กับยาต้องให้ตรงกันนี่เป็นข้อความสำคัญ  ความไม่มักง่ายจัดเป็นคุณธรรมเครื่องประดับของหมอประการหนึ่ง 

11. มีโยนิโสมนสิการ ตริตรองในใจโดยแยบคาย จะตรวจอาการโรคก็ตรวจด้วยพินิจพิเคราะห์เหตุผลโดย รอบคอบ เมื่อจะประกอบยารักษา ก็ทำโดยความใคร่ครวญ ใช้องค์วิจารณปัญญา สอดส่องให้แน่นอนแก่ใจทุกสิ่งทุกอย่าง นี่เป็นองค์อันสำคัญสำหรับวิชาแพทย์ จัดเป็นคุณธรรมเครื่องประดับของหมอประการหนึ่ง 

12. ไม่เป็นคนมีสันดานอันประกอบด้วยความมัวเมา  ความเมามัวในการเสพย์สุรา สูบกัญชา ยาฝิ่น หรือมัวเมาละเลิงหลงไปในการเล่นเบี้ย เล่นการพนันต่าง ๆ อันเป็นทางที่จะทำตนให้ได้รับความเดือดร้อนรำคาญ เพราะความประพฤติอันเป็นข้าศึกกับคุณวิชาของตน เมื่อหลีกเลี่ยงไปพ้นมิพัวพัน มีสันดานตั้งมั่นในสุจริตดังนี้ จัดเป็นคุณธรรมเครื่องประดับของหมอประการหนึ่ง

     ฉะนั้นการที่บุคคลที่ประกอบกระทำการใด ๆ   ซึ่งมีความผิดการที่แพทย์ประพฤติปฏิบัติ โดยขาดคุณธรรมนั้น ก็ด้วยเหตุ 6 ประการ คือ 

   1 ไม่ละอายต่อความทุจริต หรือไม่คิดกลัวเกรงต่อความเสียหายในการงานที่ทำนั้น ทำด้วยความโลภ ปรารถนาลาภอย่างหนึ่ง  ปรารถนาจะให้ชื่อเสียงปรากฏในคุณความดี   ถ้าทำด้วยความโอ้อวดอย่างหนึ่ง

  2 ไม่มีความรู้ในการนั้น ก็ทำด้วยการเดาเอา   จะถูกหรือผิดดีชั่วอย่างไรก็ไม่รู้ 

  3 มีความสงสัยในการงานที่ตนจะทำนั้นครอบงำอยู่แล้ว  คือ คิดไม่เห็นว่าจะทำอย่างไรดี ยิ่งตรองไปก็เป็นหลายเท่าหลายทาง ล้วนเป็นอาการที่คาดคะเนเดาไปเสียทุกอย่าง   จะหยิบยกเอาอะไรมาเป็นหลักฐานที่อ้างอิงก็ไม่ได้   ยิ่งคิดยิ่งฟั่นเฟือนไปเพราะคิดไปไม่ตลอด   ต้องถอยหลังมาคิดทางอื่น ก็ไม่ตลอดวนเวียนอยู่ ครั้นจะไต่ถามผู้รู้หรือจะปฏิเสธเสียว่าไม่รู้ ก็กลัวว่าจะเสียชื่อเสียง ทำให้เสื่อมความ เลื่อมใสในตน เมื่อการมาถึงเข้าก็ทำไปโดยความโง่เขลา การที่ทำนั้นจึงได้ผิดไป ความสงสัยที่ครอบงำ อยู่นี้ เป็นบ่อเกิดของความผิดประการหนึ่ง 

4. ความส าคัญเข้าใจในสิ่งที่ไม่ควรทำ ว่าเป็นสิ่งที่ควรทำ เช่นผู้ที่ตั้งตนเป็นหมอรักษาไข้ แต่ไม่มีความรู้ ความชำนาญพอ คนเป็นไข้พิษ มีอาการร้อนกระสับกระส่าย ทางที่ถูกควรใช้ยาสำหรับดับพิษไข้ เขา ห้ามไม่ให้อาบน้ า ในเวลากำลังไข้มีพิษ ให้กระสับกระส่าย เข้าใจเสียว่าอาบน้ำให้เย็นจะได้หาย ก็เอา น้ำอาบให้คนไข้ จนพิษไข้หลบเข้าภายใน เป็นเหตุจะตัดรอนชีวิตคนไข้เสีย หรืออีกนัยหนึ่ง คนไข้เป็นโรค อุจจาระธาตุพิการ ควรจะให้ยาคุมธาตุบำรุงธาตุ แต่ไม่ใช่ กลับใช้ยาถ่ายที่แรงๆ เช่น ยาที่เข้าสลอด มากๆ ด้วยเห็นไปว่าให้อุจจาระที่เสียออกให้หมดก็แล้วกัน เมื่อทำดังนี้โรคนั้นจะกลายเป็นอติสาร(อาการของการเจ็บไข้ที่เข้าขีดตาย.หรือ โรคที่ผู้ป่วยมีอาการท้องเสียอย่างรุนแรง ถ่ายอุจจาระเป็นน้ำ เป็นมูก เป็นเลือด อุจจาระมีกลิ่นผิดปกติ) ก็จะถึง แก่ความตาย นี่แหละเป็นความสำคัญในสิ่งที่มิควรทำว่าควรทำ 

 กิจสี่ประการของแพทย์


    1. รู้ที่ตั้งที่แรกเกิดของโรค ด้แก่สมุฏฐาน ๔ ประการ คือ
         ๑. ธาตุสมุฏฐาน
         ๒. อุตุสมุฏฐาน
         ๓. อายุสมุฏฐาน
         ๔. กาลสมุฏฐาน
    สมุฏฐาน แปลว่า ที่ตั้งที่แรกเกิดของโรคภัยไข้เจ็บ โรคจะบังเกิดขึ้นก็    
เพราะสมุฏฐานเป็นที่ตั้ง ดังจะได้จำแนกสมุฏฐานออกเป็นส่วนตามขั้นตอนต่อไปนี้
ธาตุสมุฏฐาน
    แปลว่า ที่ตั้งของธาตุ และธาตุแบ่งออกเป็น สี่ กอง คือ          
           ๑. ปถวีสมุฏฐาน ธาตุดินเป็นที่ตั้ง แบ่งออก ยี่สิบอย่าง
           ๒. อาโปสมุฏฐาน ธาตุน้ำเป็นที่ตั้ง แบ่งออก สิบสอง อย่าง
           ๓. วาโยสมุฏฐาน ธาตุลมเป็นที่ตั้ง แบ่งออก หกอย่าง
           ๔. เตโชสมุฏฐาน ธาตุไฟเป็นที่ตั้ง แบ่งออก สี่อย่าง
    รวมเป็นธาตุสมุฏฐาน สี่สิบสองอย่าง หรือจะเรียกว่า ธาตุสมุฏฐานทั้งสี่ คือ
ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ก็ได้

ปถวีธาตุ ยี่สิบ ประการ
๑. เกศา ผม ที่เป็นเส้นงอกอยู่บนศีรษะ
๒. โลมา ขน เป็นเส้นงอกอยู่ทั่วกาย เช่น ขนคิ้ว หนวด เครา เป็นต้น
๓. นขา เล็บ ที่งอกอยู่ตามปลายนิ้วมือและปลายนิ้วเท้า
๔. ทันตา ฟัน ฟันอย่าง ๑ เขี้ยวอย่าง ๑ กรามอย่าง ๑ รวมเรียกว่า ฟัน      
เป็นฟันน้ำนมผลัด ๑ มี ยี่สิบ ซี่ เป็นฟันแก่พลัด ๑ มี สามสิบสอง ซี่
๕. ตะโจ หนัง ตามตำราเข้าใจว่าหมายแต่เพียงที่หุ้มกายภายนอกซึ่งมี ๓ ชั้น   
คือ หนังหนา หนังชั้นกลาง หนังกำพร้า
๖. มังสัง เนื้อ ที่เป็นกล้ามและเป็นแผ่นในกายทั่วไป
๗. นหารู เอ็น เส้นและเอ็นในกายทั่วไป
๘. อัฏฐิ กระดูก กระดูกอ่อนอย่าง ๑  กระดูกแข็งอย่าง ๑
๙. อัฏฐิมิญ์ชัง เยื่อในกระดูก 
๑๐. วักกัง ม้าม เกาะอยู่ข้างกระเพาะอาหาร
๑๑. หทยัง หัวใจ อยู่ในทรวงอก สำหรับสูบโลหิต
๑๒. ยกนัง ตับ ตับแก่อยู่ชายโครงขวาและตับอ่อน
๑๓. กิโลมกัง พังผืด เป็นเนื้อยึดหดได้มีอยู่ทั่วกาย
๑๔. ปิหกัง ไต มีอยู่ ๒ ข้าง ขวาซ้ายสำหรับขับปัสสาวะ
๑๕. ปัปผาสัง ปอด มีอยู่ในทรวงอกขวาซ้ายสำหรับหายใจ
๑๖. อันตัง ไส้ใหญ่ ต่อจากไส้น้อยไปหาทวารหนัก
๑๗. อันตคุณัง ไส้น้อย ไส้เล็กที่ขดต่อจากกระเพาะอาหาร
ไปต่อกับไส้ใหญ่
๑๘. อุทรียัง อาหารใหม่ อาหารที่ในกระเพาะอาหาร
ในไส้น้อยและในไส้ใหญ่ตอนบน
๑๙. กรีสัง อาหารเก่า กากอาหารที่ตกจากไส้ใหญ่ตอนบน
มาอยู่ไส้ใหญ่ตอนล่าง 
๒๐. มัตถเกมัตถลุงคัง มันในสมองซึ่งเป็นก้อนอยู่ในศีรษะ
และลามตลอดกระดูกสันหลังติดต่อเนื่องกับเส้นประสาททั่วไป

อาโปธาตุ สิบสอง ประการ
๑. ปิตตัง น้ำดี แยกเป็น  ๒  อย่าง
    ๑.๑ พัทธปิตตัง  น้ำดีในฝัก   
    ๑.๒ พัทธปิตตัง  น้ำดีนอกฝัก
๒. เสมหัง น้ำเสลด แยกเป็น ๓ คือ 
    ๓.๑ ศอเสมหะในลำคอ  และศรีษะ  
    ๓.๒ อุรเสมหะในช่องอก
    ๓.๓ คูถสมหะ ในช่องท้อง ตั้งแตลำไส้ไล่ลงไป
๓. ปุพโพ น้ำหนอง ที่ออกตามแผลต่างๆ เกิดขึ้นเพราะมีเหตุช้ำชอก เป็นต้น
๔. โลหิตัง น้ำเลือด โลหิตแดงอย่างหนึ่ง โลหิตดำอย่างหนึ่ง
๕. เสโท เหงื่อ น้ำเหงื่อที่ออกตามกายทั่ว
๖. เมโท มันขัน เป็นเนื้อมันสีขาวออกเหลืองอ่อนมีในกาย
๗. อัสสุ น้ำตา น้ำใสๆ ที่ออกจากตาทั้ง ๒ ข้าง
๘. วสา มันเหลว หยดมันและน้ำเหลืองในกาย
๙. เขโฬ น้ำลาย น้ำลายในปาก
๑๐. สิงฆานิกา น้ำมูก เป็นน้ำใสที่ออกทางจมูก
๑๑. ลสิกา ไขข้อ น้ำมันที่อยู่ในข้อทั่วไป
๑๒. มูตรตัง มูตร น้ำปัสสาวะที่ออกจากกระเพาะเบา

วาโยธาตุ ๖ ประการ
๑. อุทธังคมาวาตา คือ ลมสำหรับพัดตั้งแต่ปลายเท้าตลอดศีรษะ           
บางท่านกล่าวว่า ตั้งแต่กระเพาะอาหารถึงลำคอ ได้แก่เรอ เป็นต้น
๒. อโธคมาวาตา คือ ลมสำหรับพัดตั้งแต่ศีรษะตลอดถึงปลายเท้า  
บางท่านกล่าวว่าตั้งแต่ลำไส้น้อยถึงทวารหนัก ได้แก่ ผายลม เป็นต้น
๓. กุจฉิสยาวาตา คือ ลมสำหรับพัดอยู่ในท้องแต่นอกลำไส้
๔. โกฏฐาสยาวาตา คือ ลมสำหรับพัดในลำไส้และในกระเพาะ
๕. อังคมังคลานุสารีวาตา คือ ลมสำหรับพัดทั่วร่างกาย
๖. อัสสาสะปัสสาสะวาตา คือ ลมสำหรับหายใจเข้าออก

เตโชธาตุ ๔ ประการ
    ๑. สันตัปปัคคี คือ ไฟสำหรับอุ่นกาย ซึ่งทำให้ตัวเราอุ่นเป็นปกติอยู่
    ๒. ปริทัยหัคคี คือ ไฟสำหรับร้อนระส่ำระสาย
    ซึ่งทำให้เราต้องอาบน้ำแล้วพัดวี
    ๓. ชิรณัคคี คือ ไฟสำหรับเผาให้แก่คร่ำคร่า ซึ่งทำให้ร่างกายเราเหี่ยวแห้งทรุดโทรม
    ๔. ปริณามัคคี คือ ไฟสำหรับย่อยอาหาร
    ซึ่งทำให้อาหารที่เรากลืนลงไปนั้นให้แหลกละเอียดไป


อุตุสมุฏฐาน
    แปลว่า ฤดูเป็นที่ตั้งที่แรกเกิดของโรค ฤดูเป็นของมีอยู่สำหรับโลกใน ๑ ปี
ย่อมแปรไปตามปกติของเดือน วัน อันโลกสมมุติ เรียกสืบต่อกันมาตราบเท่า
ทุกวันนี้ ฤดูในคัมภีร์แพทย์ ท่านแบ่งแยกออก ๓ อย่างคือ
                ๑. แบ่งเป็นฤดู ๓ ฤดูละ ๔ เดือน
                ๒. แบ่งเป็นฤดู ๔ ฤดูละ ๓ เดือน
                ๓. แบ่งเป็นฤดู ๖ ฤดูละ ๒ เดือน
ฤดู ๓
ฤดู ๓ ในหนึ่งปี แบ่งออกเป็น ๓ ฤดูๆ ละ ๔ เดือน
๑. คิมหันตะฤดู (ฤดูร้อน) นับตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๔ เดือน ๕ เดือน ๖
เดือน ๗ ถึง ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ เป็นสมุฏฐานเตโช พิกัดสันตัปปัคคี

๒. วสันตะฤดู (ฤดูฝน) นับตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ เดือน ๙ เดือน ๑๐
เดือน ๑๑ ถึง ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ เป็นสมุฏฐานวาโย พิกัดกุจฉิสยาวาตา

๓. เหมันตะฤดู (ฤดูหนาว) นับตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ เดือน ๑ เดือน ๒
เดือน ๓ ถึง ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ เป็นสมุฏฐานอาโป พิกัดเสมหะโลหิต

ฤดู ๔
ฤดู ๔ ในหนึ่งปี แบ่งออกเป็น ๔ ฤดูๆ ละ ๓ เดือน
- ฤดูที่ ๑ นับตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๔ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๗
เป็นสมุฏฐานเตโช

- ฤดูที่ ๒ นับตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๗ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐         
เป็นสมุฏฐานวาโย

- ฤดูที่ ๓ นับตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๐ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑         
เป็นสมุฏฐานอาโป

- ฤดูที่ ๔ นับตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔          
เป็นสมุฏฐานปถวี

ฤดู ๖
ฤดู ๖ ในหนึ่งปี แบ่งออกเป็น ๖ ฤดูๆ ละ ๒ เดือน
- ฤดูที่ ๑ นับตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๔ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖
เกิดไข้เพื่อ เตโชธาตุ เพื่อดี กำเดา

- ฤดูที่ ๒ นับตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๖ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘
เกิดไข้เพื่อ เตโชธาตุวาโยธาตุ กำเดา  ระคนกัน

- ฤดู ๓ นับตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐
เกิดไข้เพื่อ วาโยธาตุ และเสมหะ

- ฤดูที่ ๔ นับตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๐ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒
เกิดไข้เพื่อ วาโย เสมหะ และปัสสาวะ

- ฤดูที่ ๕ นับตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๒
เกิดไข้เพื่อ เสมหะ กำเดา  และโลหิต

- ฤดู ๖ นับตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๒ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔
เกิดไข้เพื่อ ปถวีธาตุ โลหิต ลม กำเดาระคนเสมหะ

อายุสมุฏฐาน
แปลว่า อายุเป็นที่ตั้งที่แรกเกิดขอโรค อายุสมุฏฐาน              
แบ่งออกเป็น ๓ อย่างคือ
                ๑. ปฐมวัย(อายุตอนต้น)
                ๒. มัชฌิมวัย(อายุตอนกลาง)
                ๓. ปัจฉิมวัย(อายุตอนปลาย)
๑. ปฐมวัย(อายุตอนต้น) แบ่งออกเป็น ๒ ระยะ
                ก. ระยะแรก นับแต่แรกเกิดจนถึง ๘ ปี
                มีเสมหะเป็นเจ้าเรือนโลหิตแทรก
                ข. ระยะหลัง นับแต่อายุ ๘ ปีจนถึง ๑๖ ปี
                มีโลหิตเป็นเจ้าเรือน เสมหะยังระคน
๒. มัชฌิมวัย(อายุตอนกลาง) นับจากอายุ ๑๖ ปี ถึง ๓๒ ปี
เป็นสมุฏฐานอาโปธาตุ พิกัดโลหิต ๒ ส่วน สมุฏฐานวาโย ๑ ส่วนระคนกัน
๓. ปัจฉิมวัย(อายุตอนปลาย) นับจากอายุ ๓๒ ปี ถึง ๖๔ ปี
เป็นสมุฏฐานวาโยธาตุเป็นเจ้าเรือน อาโปแทรกและพิกัดเสมหะและเหงื่อ

กาลสมุฏฐาน
แปลว่า เวลาเป็นที่ตั้งที่แรกเกิดของโรค กาลสมุฏฐาน
แบ่งไว้เป็นกลางวัน ๔ ตอน กลางคืน ๔ ตอน ดังนี้
เวลากลางวัน
                ๑. นับแต่ย่ำรุ่งจนถึง ๓ โมงเช้า (๐๖.๐๐น. - ๐๙.๐๐น.)
                     สมุฏฐานอาโปธาตุพิกัดเสมหะ
                ๒. นับแต่ ๓ โมงเช้าถึงเที่ยง     (๐๙.๐๐น. - ๑๒.๐๐น.)
                      สมุฏฐานอาโปธาตุพิกัดโลหิต
                ๓. นับแต่เที่ยงถึงบ่าย ๓โมง     (๑๒.๐๐น. - ๑๕.๐๐น.)
                      สมุฏฐานอาโปธาตุพิกัดดี
                ๔. นับแต่บ่าย ๓ โมงถึงย่ำค่ำ    (๑๕.๐๐น. - ๑๘.๐๐น.)
                      สมุฏฐานวาโยธาตุพิกัดลม
เวลากลางคืน
                ๑. นับแต่ย่ำค่ำจนถึง ๑ ยาม  (๑๘.๐๐น. - ๒๑.๐๐น.)
                     สมุฏฐานอาโปธาตุพิกัดเสมหะ
                ๒. นับแต่ ๑ ยามถึง ๒ ยาม  (๒๑.๐๐น. - ๒๔.๐๐น.)
                      สมุฏฐานอาโปธาตุพิกัดโลหิต
                ๓. นับแต่ ๒ ยามถึง ๓ ยาม  (๒๔.๐๐น. - ๐๓.๐๐น.)
                     สมุฏฐานอาโปธาตุพิกัดดี
                ๔. นับแต่ ๓ ยามถึง ๔ ยาม   (๐๓.๐๐น. - ๐๖.๐๐น.)
                     สมุฏฐานวาโยธาตุพิกัดลม

ประเทศสมุฏฐาน
แปลว่า ประเทศที่อยู่เป็นที่ตั้งที่แรกเกิดของโรค
บุคคลที่เคยอยู่ในประเทศร้อนหรือประเทศหนาวก็ดี เคยอยู่ประเทศใด
ธาตุสมุฏฐานอันมีอยู่ในร่างกาย ก็คุ้นเคยกับอากาศประเทศนั้น
ประเทศสมุฏฐานจัดไว้ ๔  ประการ ดังนี้
                ๑. คนเกิดในประเทศที่สูง เช่น ชาวเขา
                เรียกว่าประเทศร้อน (เตโช)
                ๒. คนเกิดในประเทศที่เป็นน้ำกรวดทราย
                เรียกว่า ประเทศอุ่น (อาโป)
                ๓. คนเกิดในประเทศที่เป็นน้ำฝนเปือกตม
                เรียกว่า ประเทศเย็น (วาโย)
                ๔. คนเกิดในประเทศที่เป็นน้ำเค็มเปือกตม
                เรียกว่า ประเทศหนาว (ปถวี)

 2 รู้จักชื่อของโรคที่เกิดขึ้น
การเจ็บป่วยเป็นไข้แต่ละอย่างนั้นสมมุติเรียกชื่อโรคอย่างไรบ้าง
การสมมุติเรียกชื่อโรคนั้น แบ่งอยากได้ ๓ ประการคือ
                ๑. เรียกตามธาตุทั้ง ๔ พิการ
                ๒. เรียกชื่อย่อตามเบญจอินทรีย์
                ๓. เรียกตามหมอสมมุติสืบต่อกันมา

๑. เรียกตามธาตุทั้ง ๔ พิการ
                คือ การที่เรียกชื่อโรค ตามธาตุ ๔๒ พระคัมภีร์โรคนิทาน
ซึ่งแบ่งธาตุดินออกเป็น ๒๐ ธาตุน้ำ ๑๒ ธาตุลม ๖ และธาตุไฟ ๔
เมื่อพิการหรือแตกไป จึงทำให้มนุษย์มีความเจ็บป่วย
การเรียกชื่อโรคก็จะเรียกให้ตรงตามธาตุ ๔๒ เช่น โรคเกศาพิการ
โรคทันตาพิการ โรคเสมหะพิการ เป็นต้น

๒. เรียกชื่อย่อตามเบญจอินทรีย์
                ๑). จักษุโรโค คือ โรคที่เกิดขึ้นที่ตา
                ๒). โสตโรโค คือ โรคที่เกิดขึ้นที่ในหู
                ๓). ฆานโรโค คือ โรคที่เกิดขึ้นที่จมูก
                ๔). ชิวหาโรโค คือ โรคที่เกิดขึ้นที่ลิ้น
                ๕). กายะโรโค คือ โรคเกิดขึ้นที่กาย แบ่งออกเป็น ๒ อย่าง
                                ก. พหิทธโรโค คือ โรคเกิดขึ้นภายนอกกาย
                                ข. อันตโรโค   คือ โรคที่เกิดขึ้นภายในกาย

๓. เรียกตามหมอสมมุติสืบต่อกันมา
                คือ การที่เรียกตามตำราที่แจ้งไวในคัมภีร์แพทย์ศาสตร์ทั้งปวง  
ซึ่งได้กำหนดบัญญัติตั้งชื่อของโรคไว้แล้ว เช่น โรคหวัด ไข้ ไอ กระษัย ประดง เป็นต้น

3 รู้จักยาสำหรับแก้โรคไข้
จะต้องสรรพคุณของสิ่งต่างๆ ซึ่งจะมาปรุงเป็นยารักษาโรค
และไข้จะต้องเรียนรู้หลักของวิชาเภสัช หลักของวิชาเภสัชนั้น
                แบ่งออกเป็นหลักใหญ่ได้ ๔ ประการ คือ
                ๑. เภสัชวัตถุ (ตัวยา)
                ๒. สรรพคุณเภสัช (สรรพคุณยา)
                ๓. คณาเภสัช (พิกัดยา)
                ๔. เภสัชกรรม (การปรุงยา)
๑. เภสัชวัตถุ (ตัวยา)
คือ รู้จักวัตถุธาตุนานาชนิด ที่จะนำมาใช้เป็นยารักษาโรคและไข้
แบ่งออกเป็น ๓ จำพวก คือ
                ๑). พืชวัตถุ แบ่งออกได้ ๕ จำพวก
                ๒). สัตว์วัตถุ แบ่งออกได้ ๓ จำพวก
                ๓). ธาตุวัตถุ แบ่งออกได้เป็น ๒ จำพวก

๒. สรรพคุณเภสัช
คือ ต้องรู้จักสรรพคุณของวัตถุนานาชนิดที่จะนำมาใช้เป็นยาบำบัดโรค
และไข้ ก่อนที่จะทราบสรรพคุณได้นั้น จะต้องสรพถึงรสของตัวยานั้นๆ เสียก่อน
จึงจะทราบสรรพคุณภายหลัง
เบื้องต้นกำหนดรสยาไว้เป็นรสประธาน ๓ รส คือ
                ๑). ยารสร้อน
                ๒). ยารสเย็น
                ๓). ยารสสุขุม
๑). ยารสร้อน
ได้แก่ตัวยาที่มีรสร้อน เช่น เมล็ดพริกไทย ขิง ข่า รากเจตมูลเพลิง
เมื่อปรุงหรือผสมแล้ว ก็จะเป็นยารสร้อน สรรพคุณแก้ในทาง วาโยธาตุ
๒). ยารสเย็น
ได้แก่ตัวยาสมุนไพร แร่ธาตุ และอวัยวะของสัตว์ที่มีรสเย็น
หรือตัวยาที่เผาเป็นถ่าน กระดูกสัตว์ เขี้ยวสัตว์ เมื่อปรุงหรือผสมแล้ว
ก็จะเป็นยารสเย็น สรรพคุณแก้ในทาง เตโชธาตุ
๓). ยารสสุขุม
ได้แก่ตัวยาที่มีรสสุขุม สมุนไพร แร่ธาตุ อวัยวะของสัตว์ ที่มีรสสุขุม
เช่น โกฐ เทียน กฤษณา กระลำพัก ขอนดอก อบเชย เมื่อปรุงหรือผสมแล้ว
ก็จะเป็นยารสสุขุม สรรพคุณแก้ในทาง อาโปธาตุ

นอกจากรสประธาน ๓ รสนี้แล้ว ยังแบ่งรสยาออกได้อีก ๙ รส ดังนี้
๑. ยารสฝาด สรรพคุณ สมาน
                ๒. ยารสหวาน สรรพคุณ ซึมซาบไปตามเนื้อ
                ๓. ยารสเมาเบื่อ สรรพคุณ แก้พิษ
                ๔. ยารสขม สรรพคุณ บำรุงโลหิตและดี
                ๖. ยารสเผ็ดร้อน สรรพคุณ แก้ลม
                ๗. ยารสมัน สรรพคุณ บำรุงเส้นเอ็น
                ๘. ยารสหอมเย็น สรรพคุณ บำรุงหัวใจ
                ๙. ยารสเปรี้ยว สรรพคุณ กัดเสมหะ
* นอกจากรสยาประธาน ๓ รสและรสยา ๙ รสแล้ว ควรเพิ่มรสจืด
สำหรับแก้ในทางเตโช สรรพคุณ ขับปัสสาวะ พร้อมทั้งควรทราบ
                - รสยาแก้ตามธาตุ
                - รสยาแก้ตามฤดู
                - รสยาแก้ตามวัย
                - รสยาแก้ตามกาล

รสยาแก้ตามธาตุ
๑. ปถวีธาตุ เมื่อพิการ แก้ด้วยยา รสฝาด รสหวาน รสมัน รสเค็ม
                ๒. อาโปธาตุ เมื่อพิการ แก้ด้วยยา รสเปรี้ยว รสขม รสเมาเบื่อ
                ๓. วาโยธาตุ เมื่อพิการ แก้ด้วยยา รสสุขุม รสเผ็ดร้อน
                ๔. เตโชธาตุ เมื่อพิการ แก้ด้วยยา รสเย็น รสจืด

รสยาแก้ตามฤดู
๑. คิมหันตฤดู (ฤดูร้อน) เกิดโรคเพื่อเตโชธาตุพิการ โรคปิตตะพิการ
คือ ดีพิการ ควรใช้ยารสเย็นและจืด
                ๒. วสันตฤดู (ฤดูฝน) เกิดโรคเพื่อวาโยธาตุพิการ คือ โรควาตะ
โรคลม ควรใช้ยารสร้อนและสุขุม
                ๓. เหมันตฤดู (ฤดูหนาว) เกิดโรคเพื่ออาโปธาตุพิการ คือ
สมุฏฐานเสมหะ ควรใช้ยารสสุขุมหรือรสเปรี้ยว

รสยาแก้ตามวัย
๑. ปฐมวัย (วัยเด็ก) เป็นโรคเพื่อเสมหะ (สมุฏฐานอาโป)
ควรใช้ยารสหวาน รสเปรี้ยว รสขม
                ๒. มัชฌิมวัย (วัยกลาง) เป็นโรคเพื่อโลหิตและดี (สมุฏฐานอาโป)
ควรใช้ยารสเปรี้ยวฝาด รสเปรี้ยวเค็ม รสขม
                ๓. ปัจฉิมวัย (วัยผู้เฒ่า) เป็นโรคเพื่อลมกำเริบ (สมุฏฐานวาโย)
ควรใช้ยารสขม รสร้อน รสเค็ม รสฝาด รสหอม

รสยาแก้ตามกาล
กาล ๔
ยาม ๑ นับแต่ ๐๖.๐๐น. - ๐๙.๐๐น. และ ๑๘.๐๐ น. - ๒๑.๐๐ น.
เป็นสมุฏฐานอาโป พิกัดเสมหะ ใช้ยารสเปรี้ยว
ยาม ๒ นับแต่ ๐๙.๐๐น. - ๑๒.๐๐น. และ ๒๑.๐๐ น. - ๐๐.๐๐ น.
                 เป็นสมุฏฐานอาโป พิกัดโลหิต ใช้ยารสขม
ยาม ๓ นับแต่ ๑๒.๐๐น. - ๑๕.๐๐น. และ ๐๐.๐๐ น. - ๐๓.๐๐ น.
                 เป็นสมุฏฐานอาโป พิกัดดี ใช้ยารสเปรี้ยว รสขม
ยาม ๔ นับแต่ ๑๕.๐๐น. - ๑๘.๐๐น. และ ๐๓.๐๐ น. - ๐๖.๐๐ น.
                 เป็นสมุฏฐานวาโย พิกัดวาตะ(ลม) ใช้ยารสเผ็ดร้อน รสสุขุม

กาล ๓
ยาม ๑ นับแต่ ๐๖.๐๐น. - ๑๐.๐๐น. และ ๑๘.๐๐ น. - ๒๒.๐๐ น.
                เกิดโรคเพื่อเสมหะ ใช้น้ำกระสายยารสเปรี้ยว
ยาม ๒ นับแต่ ๑๐.๐๐น. - ๑๔.๐๐น. และ ๒๒.๐๐ น. - ๐๒.๐๐ น.
                 เกิดโรคเพื่อโลหิตและดี ใช้น้ำกระสายยารสขม
ยาม ๓ นับแต่ ๑๔.๐๐น. - ๑๘.๐๐น. และ ๐๒.๐๐ น. - ๐๖.๐๐ น.
                 เกิดโรคเพื่อลม ใช้น้ำกระสายยารสร้อน

๓. คณาเภสัช
คือ รู้จักพิกัดยา หมายถึง ตัวยาหลายอย่างที่มีชื่อต่างกันรวมเรียกเป็นชื่อเดียว
และตัวยาแต่ละสิ่งหนักเสมอภาค (พิกัดยา)
แบ่งออกได้ ๓ หมวด ดังนี้คือ
                ๑). จุลพิกัด
                ๒). พิกัดยา
                ๓). มหาพิกัด
พิกัดยา
๑). จุลพิกัด
คือ พิกัดเรียกชื่อตรงของตัวยานั้นๆเป็นพิกัดเล็ก
มีตัวยาน้อยอย่างโดยมากเป็นตัวยาอย่างเดียวกัน
เช่น กะเพราทั้ง ๒ ผักหวานทั้ง ๒ เป็นต้น

๒). พิกัดยา
คือ ตัวยาหลายสิ่งหลายอย่างรวมเรียกชื่อเดียวกัน
จะเป็นคำตรงหรือคำศัพท์ก็ได้ น้ำหนักของตัวยาในพิกัดนั้นเท่ากัน จึงเรียกว่า พิกัดยา
แบ่งออกเป็น พิกัดตรี พิกัดจตุ พิกัดเบญจ พิกัดสัตตะ พิกัดเนาว พิกัดพิเศษ
๓). มหาพิกัด
คือ ตัวยาหลายสิ่งหลายอย่างรวมเรียกชื่อต่างกัน รวมเรียกเป็นชื่อเดียวกันเหมือนกับพิกัดยา
ต่างแต่ตัวยาแต่ละอย่างในมหาพิกัดมีน้ำหนักไม่เท่ากัน เพราะเหตุว่ามหาพิกัดนี้
สงเคราะห์เอาไปแก้ตามกองฤดู กองธาตุกำเริบ หย่อน และพิการ โรคแทรก โรคตาม
เพื่อผลทางการรักษา (รวมตลอดจนพิกัดชั่ง ตวง วัด)

๔. เภสัชกรรม
คือ รู้จักการปรุงยาที่ผสมใช้ตามวิธีต่างๆตามตำราโบราณ
การปรุงยาตามหลักสูตรเภสัชกรรมมี ๔ ประเภท
แบ่งออกเป็น ๒๓ วิธี การปรุงยาตามเวชศึกษามี ๒๔ วิธี
คือ เพิ่มยาพอก แบ่งออกได้ ๔ ประเภท ดังนี้
                ๑). ประเภทยาน้ำ ๑๑ วิธี
                ๒). ประเภทยาผง ๗ วิธี
                ๓). ประเภทยาเม็ดลูกกลอน ปั้นเป็นแท่ง ๒ วิธี
                ๔). ยาเอาควัน ไอรม ดมกลิ่น ๔ วิธี

4  รู้ว่ายาอย่างใดควรจะแก้โรคชนิดใด
หลักใหญ่ในการตรวจโรค มีหลักอยู่ ๔ ประการ คือ
                ๑. ซักประวัติผู้ป่วยและครอบครัว
                ๒. ซักประวัติโรคทั้งอดีต - ปัจจุบัน
                ๓. ตรวจสภาพร่างกายและจิตใจ
                ๕. ตรวจอาการ(ตรวจทางห้องปฏิบัติการ)
หลักการตรวจโรค
๑. ซักประวัติผู้ป่วยและครอบครัว
                - ชื่อผู้ป่วย สำหรับลงทะเบียน
                - ที่อยู่ ภูมิประเทศที่อยู่ของผู้ป่วย(ประเทศสมุฏฐาน)
                - เชื้อชาติ ศาสนาและความประพฤติ
                - เกิดที่ไหน (ประเทศสมุฏฐาน)
                - อายุเท่าไร (อายุสมุฏฐาน)
                - อาชีพอะไร
                - ครอบครัวเป็นอย่างไร(ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่ พี่ น้อง ลูก สามี ภรรยา)
                - พฤติกรรมส่วนตัว ( ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ดื่มชา กาแฟ ฯลฯ)
                - โรคภัยไข้เจ็บที่เป็นมาก่อนมีอาการอย่างไร
๒. ถามประวัติโรค(ทั้งอดีตและปัจจุบัน)
                - เริ่มมีอาการตั้งแต่เมื่อไร (สำหรับกาล อุตุ และอายุสมุฏฐาน)
                - สาเหตุ ความเป็นมา อย่างไร
                - แรกเจ็บมีอาการอย่างไร
                - มีอาการเป็นลำดับมาอย่างไร
                - ได้รักษาพยาบาลมาอย่างไร
                - มีอาการผันแปรมาอย่างไร
                - อาการป่วยในวันหนึ่งๆเป็นอย่างไร
                - อาการ ณ ปัจจุบันที่พบเห็นเป็นอย่างไร
๓. ตรวจสภาพร่างกายและจิตใจ
                - ผู้ป่วยมีรูปร่างอย่างไร
                - อาการอ่อนเพลีย(มาก-น้อย อย่างไร)
                - มีสติอารมณ์เป็นอย่างไร
                - อาการเจ็บป่วย(มาก-น้อย อย่างไร)
                - ชีพจรเป็นอย่างไร(จังหวะการเต้น)
                - การหายใจ(ช้า-เร็ว)
                - ตรวจหัวใจ ปอด ลิ้น ตา ผิวพรรณ
                - ตรวจเฉพาะที่
๕. ตรวจอาการ(ตรวจทางห้องปฏิบัติการ)
                - วัดอุณหภูมิ(ปรอท)
                - ตรวจอุจจาระ
                - ตรวจปัสสาวะ
                - ตรวจเลือด

การวินิจฉัย
เมื่อตรวจได้ความพอที่จะลงความเห็นแล้วเราจะวินิจฉัยโรคและ
วางแผนการรักษา โดยมีหลักการดังนี้
                ๑. ผู้ป่วยมีอาการอย่างไร เป็นโรคชนิดไหน ชื่ออะไร
                ๒. โรคนั้นๆอะไรเป็นสาเหตุให้เกิดขึ้น
                ๓. โรคชนิดนี้จะแก้ไขเยี่ยวยาวิธีใด จึงจะถูกแก่โรค
                ๔. สรรพคุณยาที่จะบำบัดโรคชนิดนั้น จะใช้สรรพคุณยาอะไร

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนวดไทยบำบัด(นวดรักษา) 14โรค เอกสารจัดทำเพื่อผู้พิการทางสายตาเพื่อการอ่านโดยใช้แอพพลิเคชั่นเสียง

การนวดพื้นฐาน 95ท่า หนังสือผ่านแอพพิเคชั่นเสียงสำหรับผู้พิการทางสายตา

ความพร้อมกับการสอบปฏิบัตินวดไทยสิบสี่อาการ กลุ่มอาการที่สี่