สรุปเส้นประธานสิบสำหรับสอบใบอนุญาตประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย
กลอน 8 กล่าวถึง "เส้นประธาน 10 เส้น" สืบทอดกันมา ดังนี้
"... เป็นหมอนวด อย่าลบหลู่ ดูถูกเส้น ต้องรู้เห็น เส้นสาย ได้ทุกที่
เส้นประธานสิบ หลักฐาน โบราณมี รอบนาภี เเยกเส้นสาย ให้พลัง..."
1. "เส้นอิทา" ผ่านหัวเหน่า เข้าเข่าซ้าย พอเข้าไกล้ หัวเข่า วกเข้าหลัง... ผ่านศีรษะ มาจมูกซ้าย ให้ระวัง โรคปวดหลัง ตามัว ปวดหัวจริง
2. "เส้นปิงคลา" เกิดสลับ กับอิทา อยู่ด้านขวา ทุกอย่าง ที่อ้างอิง... อาการโรค ละม้าย คล้ายกันจริง นวดกดนิ่ง หน้า หัว ทั่วท้ายทอย
3. "เส้นสุมนา" ผ่านหัวใจ ไปโคนลิ้น ยากกลืนกิน พูดจา หน้าละห้อย... ลิ้นกระด้าง คางเเข็ง เรี่ยวเเรงน้อย จิตเหงาหงอย คลุ้มคลั่ง ต่างๆ นาๆ
4. "เส้นกาลทารี" กลางนาภี เเยกสี่เส้น มีสองเส้น ร้อยสะบักใน สู่ใบหน้า... เเล้ววกกลับ เเขนขวาซ้าย ปลายนิ้วนา สองบาทา เเยกหนึ่งเส้น เป็นสำคัญ
5. "เส้นสหัสรังษี" ลงที่เท้าซ้าย วกขึ้นไป เเล่นลอด ทอดเต้าถัน... เเนบลำคอ ขากรรไกร ใบหน้าพลัน ไปสุดกัน ที่ตาซ้าย ให้จดจำ
6. "เส้นทวารี" สลับกับรังษี ทุกเส้นที่ อยู่ทางขวา ดูนำขำ... กินของมัน หวานเกินไป ไม่ควรทำ กินประจำ ผลสนอง เกี่ยวข้องตา
7. "เส้นจันทภูสัง" ไปยังนมซ้าย เลยออกไป หูซ้าย ไม่กังขา
8. "เส้นรุชำ" สลับกับ ภูสังนา ไปหูขวา ถ้าหูตึง คลึงเส้นนี้
9. "เส้นสิขิณี" ไปที่ อวัยวะเพศ มีสาเหตุ จากไต ไม่ได้ที่... โรคโลหิต มดลูก ทุกนารี นวดเส้นนี้ เอว สะโพก โรคทุเลา
10. "เส้นสุขุมัง" หยุดยั้ง ทวารหนัก ลำไส้พัก จุดผาย ถ่ายของเก่า... ถ้ากินได้ ไม่ถ่าย จะตายเอา นวดเบาๆ หน้าท้อง คล่องระบาย
"... ทั้งสิบเส้น ที่กล่าว คร่าวๆ นี้ เพื่อช่วยชี้ ช่วยจำ นำขยาย
เป็นหมอนวด ต้องฝึกฝน จนวันตาย มันไม่ง่าย เหมือนปอกกล้วย ช่วยคิดเอย..."
ลักษณะและคุณลักษณะเส้นประธานสิบ
• เป็นเส้นขออยู่บริเวณท้องรอบสะดือ
• อยู่ลึกลงไปในกล้ามเนื้อ บริเวณท้อง ประมาณ 2 นิ้ว แล้วแต่ความหนาของกล้ามเนื้อ หน้าท้อง
• เส้นแล่นขดกระหวัด กระจายอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย
• เส้นแต่ละเส้นแล่นไปตามแนวของแต่ละเส้นอย่างมีระเบียบ
• เส้นแต่ละเส้นมีแนวเส้นร่วมของแต่ละเส้นกระจายอยู่ทั่วร่างกาย
• เส้นร่วมของเส้นประธานสิบ มีส่วน ที่เกี่ยวกระหวัดกัน
• เส้นประธานสิบแต่ละเส้น มีคุณลักษณะ เป็นเส้นที่สำคัญ กับระบบอวัยวะภายในร่างกาย ตามแต่ส่วนสัมพันธ์ของแต่ละเส้น
• เส้นประธานสิบแต่ละเส้น มีคุณลักษณะ เป็นเส้นประจำธาตุของร่างกาย (ใช้เพื่อการกดนวด บำบัด อาการและอาการของลมบางอาการ โดยต้องใช้หลักการวินิจฉัย ธาตุสมุฎฐาน คือวินิจฉัยจากอาการ และสมมุติฐานหนึ่ง)
• เส้นประธานสิบแต่ละเส้น มีลมแล่นอยู่ประจำเส้น
• เส้นประธานสิบเป็นเส้นประจำฤดูกาล (ใช้กรณีต้องการใช้การวินิจฉัยฤดูสมุฎฐาน คือวินิจฉัย ตามเหตุของอาการ และสมมุติฐานหนึ่ง)
1.เส้นอิทา" ว่า ตั้งต้นที่กึ่งกลางท้องใต้สะดือ 2 นิ้ว เยื้องซ้าย 1 นิ้ว และอยู่ลึกลงไป 2 นิ้วแล่นไปที่ต้นขาด้านซ้ายถึงเข่า แล้ววกกลับมาต้นขาด้านหลัง แล่นขึ้นแนบกระดูกสันหลังซ้าย ถึงคอ ถึงศีรษะ แล้ววกกลับมาริมจมูกซ้าย ลมประจำ เรียกว่า ลมจันทรกะลา
2.เส้นปิงคลา ว่า ตั้งต้นที่กึ่งกลางท้องใต้สะดือ 2 นิ้ว เยื้องขวา 1 นิ้ว แล่นไปต้นขาด้านขวาถึงเข่า แล้ววกกลับมา ต้นขาด้านหลัง แล่นขึ้นแนบกระดูกสันหลัง ถึงคอ ถึงศีรษะ แล้ว วกกลับมาที่ ริมจมูกขวา ลมประจำชื่อ ลมศูญทะกะลา
3.เส้นสุมนา ว่า ตั้งต้นที่กึ่งกลางท้องเหนือสะดือ 2 นิ้ว แล่นขึ้นไปในทรวงอก ถึงลำคอ ไปสิ้นสุดที่โคนลิ้น เรียกว่า รากเส้นลิ้น ลมประจำเรียกว่า ลมชิวหาสดมภ์
4.เส้นกาละธารี ว่า ตั้งต้นที่ที่กึ่งกลางท้อง แล้วแตกเป็น 4 เส้น สองเส้นบนเหนือสะดือ 1 นิ้ว แล่นผ่านราวนมทั้งสองข้าง ถึงข้อมือทั้งสองข้าง แล้วเลยไปที่นิ้วมือทั้งสิบ 2 เส้นล่างใต้สะดือ 1 นิ้ว แล่นไปที่ขาทั้งสอง ถึงข้อเท้าทั้งสองข้าง แล้วเลยไปที่นิ้วเท้าทั้งสิบ
5.เส้นสหัสรังษี ว่า ตั้งต้นที่กึ่งกลางท้องจากสะดือมาทางซ้ายมือ 3 นิ้ว แล่นไปที่ขาซ้ายด้านในถึงฝ่าเท้า แล่นผ่านโคนนิ้วเท้าทั้งห้า แล้วกลับมาที่สันหน้าแข้งซ้าย แล่นผ่านราวนมซ้าย รอดไหปลาร้า รอดขากรรไกรไปสุดที่ ใต้ตาซ้าย เรียกว่า เส้นรากตาซ้าย
6.เส้นทวารี ตั้งต้นที่กึ่งกลางท้องจากสะดือ มาทางขวามือ 3 นิ้ว แล่นไปที่ขาขวาด้านในถึงฝ่าเท้า แล่นผ่านโคนนิ้วเท้าทั้งห้า แล้ววกกลับมาสันหน้าแข้งขวา แล่นผ่านราวนมขวา รอดไหปลาร้า รอดขากรรไกร ไปสุดที่ใต้ตาขวา เรียกว่า เส้นรากตาขวา
7.เส้นจันทภูสัง หรือลาวุสัง" ตั้งต้นที่กึ่งกลางท้องจากสะดือมาทางซ้าย 4 นิ้ว แล่นผ่านราวนมซ้าย รอดไหปลาร้า รอดขากรรไกร ไปสุดที่หูซ้าย เรียกว่า เส้นรากหูซ็าย
8."เส้นรุชำ หรือ อุรังกะ ตั้งต้นที่กึ่งกลางท้อง จากสะดือมาทางขวามือ 4 นิ้ว แล่นผ่านราวนมขวา รอดไหปลาร้า รอดขากรรไกร ไปสุดที่หูขวา เรียกว่า เส้นรากหูขวา
9.เส้นสุขุมัง หรือ นันทะกะหวัด ตั้งต้นที่กึ่งกลางท้องใต้สะดือ 2 นิ้ว เวลากดเยื้องซ้ายเล็กน้อย แล่นไปที่ทวารหนัก
10.เส้นสิขินี หรือ คิชฌะ" ตั้งต้นที่กึ่งกลางท้องใต้สะดือ 2 นิ้ว เวลากดเยื้องขวาเล็กน้อย แล่นไปที่ ทวารเบา ชายเรียกคิชฌะ ส่วนหญิงเรียกสิขิณี
ความสัมพันธ์ระหว่างเส้นประธาน กับลม
1.เส้นอิทา
-ลมจันทะกะลา(ลมปะกัง ลมสรรนิบาต) ปวดหัวมาก วิงเวียน ตามืดมัว ตาวิงตอนกลางคืน เจ็บตา ไข้จับให้ตัวร้อน ชักปากเบี้ยว เสียวหน้าตา เจ็บสันหลัง เกิดเพราะกำเดาและปิตตะระคนกัน มักจับตอนเย็น ถ้าเป็นถึงเจ็ดวัน จะถึงแก่ชีวิตได้
-ลมพหิ เซื่องซึม สลบคล้ายถูกงูลายสาบกัด
-ลมสัตตวาต มือสั่น ตีนสั่น เพราะกินอาหารหวานมากเกินไป หรือกินอาหารวันละ สี่ ถึงห้าเวลา
2.เส้นปิงคะลา
-ลมสุริยะกะลา (ลมสุญทะกะลา ลมปะกัง ลมสรรนิบาต) หน้าตาแดง ปวดหัวเช้าถึงเที่ยง ปวดหัวมากมักเจ็บตา น้ำตาไหล ชักปากเบี้ยว คัดจมูก น้ำมูกไหล จาม มักจับวันพฤหัส
-ลมพหิ สลบไม่รู้สึกตัว ไม่พูดจา คล้ายถูกงูทับสมิงคลากัด
-ลมรัตนาวาต เมื่อยล้า ขัดทั่วทุกแห่ง เพราะกินอาหารจำเจ เมื่อจะเป็นให้แสบไส้แสบพุง อยากอาหารและของสดคาว
3.เส้นสุมนา
-ลมชิวหาสดมภ์ ลิ้นกระด้าง คางเเข็ง เซื่องซึม พุดไม่ชัด พูดไม่ได้
-ลมดาลตะคุณ หรือลมมหาอัศดมภ์ จุกอก เอ็นเป็นลำ จับหัวใจ ให้แน่น อก มักจับวันอาทิตย์
-ลมทะกรน ดวงจิตระส่ำระสาย
-ลมบาดทะจิตร์ เคลิบเคลิ้ม พูดติดขัด หลงลืม เเน่น อก อาเจียนเป็นลมเปล่า หนาวร้อน ต้องฝืนกินอาหาร ได้กลิ่นอาหารจะขย้อนออก
4.เส้นกาละทารี
-ลมกาละทารี เหน็บชาทั้งตัวเจ็บเย็นสะท้าน เกิดเพราะกินอาหารแสลง ได้แก่ ขนมจีน(อาหารหมัก) ข้าวเหนียว ถ้่ว มักจับวันอาทิตย์ และวันจันทร์
-ลมหัสรังษี เมื่อแรกจับให้นอนแน่นิ่งไม่รู้สึกตัว
5.เส้นสหัสรังสี
-ลมจักขุนิวาต และลมอัคนิวาตคุณ ปวดกระบอกตา วิงเวียนลืมตาไม่ขึ้น เกิดเพราะกินของมันหวานมาก มักจับวันศุกร์
6.เส้นทวารี(ทวาคตา ทวารจันทร์ ฆานทวารี)
-ลมทิพจักษุ ปวดกระบอกตา วิงเวียน ตาพร่ามัว ลืมตาไม่ขึ้น อาจเป็นทั้งสองข้าง หรือข้างขวาข้างเดียว
-ลมปัตคาต เกิดจากเส้นทวารีพิการเรื้อรัง เกิดเพราะกินน้ำมะพร้าวอ่อนอันมันหวาน และมีกามสังโยค มักจับวันอังคาร
7.เส้นจันทะภูสัง (อุรัง ภูสำพวัง สัมปะสาโส หรือ ลาวุสัง)
-ลมคะทาหุ เกิดเพราะอาบน้ำเย็นมาก ให้วิงเวียน มักจับวันพุธ
8.เส้นรุชำ (สุขุมอุสะมา หรือ อุลังกะ )
-ลมคะทาหุ ทำให้หูตึง ลมออกหู เป็นทั้งสองข้างเพราะกินน้ำมะพร้าว ของอันมัน มักจับวันอังคาร
-ลมทาระกรรณ์ มักให้เจ็บท้องนัก เพราะกินของอันมัน มักเจ็บวันอาทิตย์
9.เส้นสุขุมัง (กังขุง หรือ กุขุง )
- ลมกุขุง เกิดเพราะกินอาหารมาก กินอาหารโอชะมัน ทำให้ตึงทวาร เจ็บท้องราวท้องจะแตก หรือกินอาหารเพียงน้อยก็คับท้อง ขัดอุจจาระ บางทีก็ลงไปเปล่า มักจับวันอาทิตย์
10.เส้นสิขิณี (สังคินี รัตคินี หรือ สังขิ)
-ลมสังขิ กินผิดสำแดง ลมกุจฉิสยาวาตาพัดผิดปกติ ทำให้ลงท้อง ท้องขึ้น ผะอืดผะอมท้อง
-ลมราชยักษ์ เสียดสีข้างทั้งสอง ขัดเบา ปัสสาวะขุ่น ปัสสาวะร้อน เจ็บหัวเหน่า ผู้ชายบังเกิดในองคชาติ เป็นเพราะกามราคะนั้น หน่วงเอ็น ทำให้ปัสสาวะหยดย้อย หนองใน เป็นอุปทม ไส้ด้วน ไส้ลาม ผู้หญิงเป็นเพราะโลหิต หรือเอ็นในมดลูกพิการ เรียกว่าลมกามทุจริต เจ็บท้อง สีข้าง สะเอว (ดุจดังหักกลาง) แล้วแล่นเข้าไปในท้อง แล้วลงมารึงหัวเข่าทั้งสองข้าง ทำให้เลือดจับมูก มักเป็นมุตกิต มุตคาต
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น