ประวัติ องค์ความรู้ และการประยุกต์ใช้การนวดไทย...เอกสารสำหรับแอพพิเคชั่นอ่านออกเสียงนักเรียนผู้พิการทางการมองเห็น(หลักสูตรผู้ช่วยแพทย์)...เอกสารสำหรับแอพพิเคชั่นอ่านออกเสียงนักเรียนผู้พิการทางการมองเห็น

 ประวัติ องค์ความรู้ และการประยุกต์ใช้การนวดไทย

นวด หมายถึง ใช้มือบีบ หรือกดเพื่อให้คลายจากการปวดเมื่อยหรือเมื่อขบ (พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542)

การนวดไทย หมายถึง การตรวจ การวินิจฉัย การบำบัด การรักษา การป้องกันโรค การส่งเสริมและการฟื้นฟูสุขภาพ โดยใช้องค์ความรู้เกี่ยวกับศิลปะการนวดไทย ทั้งนี้ด้วยกรรมวิธีการแพทย์แผนไทย 

ประวัติการนวดไทย

สมัยพุทธกาล (หมอชีวกโกมารภัจจ์)

เชื่อว่า การนวดมีรากฐานส่วนหนึ่งมาจากประเทศอินเดีย โดยน่าจะเผยแพร่ผ่านทางพระพุทธศาสนา รวมทั้งศาสนาพราหมณ์ด้วย

สมัยอาณาจักรขอม ประมาณปี พ.ศ. 1725-1729

ได้พบศิลาจารึก ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มีการสร้าง “อโรคยศาล”

สมัยกรุงสุโขทัย ประมาณปี พ.ศ. 1800

พบศิลาจารึก ที่วัดป่ามะม่วง จังหวัดสุโขทัย (สมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช) โดยในศิลาจารึกกล่าวไว้ว่า พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ได้ทรงจัดให้มีการปลูกสวนป่าสมุนไพรขึ้น เพื่อใช้เป็นยารักษาโรคสำหรับประชาชน และยังมีการปรุงยาที่ได้จากสมุนไพรเหล่านั้นด้วยวิธีการบด และมีรอยศิลาจารึกเกี่ยวกับการรักษาโรคด้วยวิธีการนวด

สมัยกรุงศรีอยุธยา ระมาณปี พ.ศ. 1998-2310

               1.  สมัยพระบรมไตรโลกนาถ

มีหลักฐานจากทำเนียบศักดินาข้าราบการฝ่ายทหารและพลเรือน ซึ่งตราขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1998 ระบุว่า มีข้าราชการในกรมหมอนวดขวาและซ้าย เจ้ากรมมีบรรดาศักดิ์ เป็นหลวงราชรักษาและหลวงราโช ตามลำดับ

 

 

2.สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

การแพทย์แผนโบราณ มีความเจริญรุ่งเรื่องมาก โดยเฉพาะด้านการนวด ได้เริ่มมีการเขียนตำราเกี่ยวกับการนวดไว้ในใบลาน โดยเป็นภาษาบาลี พระองค์ทรงโปรดการนวดตลอดเวลาที่พระองค์ประชวร และหมอนวดที่ทรงโปรดมากที่สุดคือ “พระปีว์” รวมทั้งพวกขุนนางก็นิยมการนวดด้วย

 ในจดหมายเหตุของลาลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศส ที่มาในกรุงสยาม ระหว่างปี พ.ศ. 2230-2231 ได้พรรณนาความตองหนึ่งว่า

“ในกรุงสยามนั้นถ้าใครป่วยไข้  ก็จะเริ่มให้ยืดเส้นยืดสาย

โดยให้ผู้มีความชำนาญในทางนี้  ขึ้นไปแล้วใช้เท้าเหยียบ”

สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ประมาณปี พ.ศ. 2325-ปัจจุบัน

รัชกาลที่ 1       ทรงดำริให้มีการรวบรวมสรรพวิชาต่างๆ ขึ้นมา โดยเฉพาะวิชาการแพทย์ โดยโปรดเกล้าให้ทำการปฏิสังขรณ์ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) ชำระตำราต่างๆ ไว้ตามศาลารายรอบๆวัด และยังสร้างภาพฤๅษีดัดตน จำนวนกี่ตนไม่ชัดเจนปั้นด้วยดิน

รัชกาลที่ 3        ได้โปรดเกล้าให้ปฏิสังขรณ์ (วัดโพธิ์) อีกครั้ง ทรงโปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมสรรพวิชาไว้ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) จนได้รับการยกย่อง ว่าเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกสำหรับราษฎร มีจารึกแผนภาพนวด 60ภาพ บนแผ่นศิราประดับบนผนังศาลาราย และรูปหล่อ (สังกะสีผสมดีบุก) ฤาษีดัดตน 80 ท่า พร้อมคำโคลง

รัชกาลที่ 4  พบหลักฐานจากทำเนียบตำแหน่งข้าราชการ ฝ่ายพระราชวังบวรสถานมงคล (สมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ) ว่ามีข้าราชการในกรมหมอนวด

รัชกาลที่ 5   โปรดเกล้าฯ ให้ชำระคัมภีร์แพทย์ รวมทั้งคัมภีร์แผนนวด และฤๅษีดัดตน ปรากฏหลักฐานในหอพระสมุดวชิรญาณ เป็นตำราแผนนวดฉบับหลวงพระราชทานในรัชกาลที่ 5 พ.ศ. 2449

กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ตั้งโรงเรียนฝึกหัดแพทย์ขึ้น ชื่อโรงเรียนแพทยากร

มีการเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังฤๅษีดัดตน ที่ศาลาโถงของวัดมัชฌิมาวาส (วัดกลาง) จังหวัดสงขลา จำนวน 40 ท่า

รัชกาลที่ 6

ยกเลิกการเรียนวิชาการแพทย์แผนไทย

กรมแพทย์หลวงถูกยุบ หมอหลวงที่เคยรับราชการอยู่ ต้องออกมาประกอบวิชาชีพส่วนตัว นับเป็นการสิ้นสุดบทบาทของการแพทย์แผนไทยและการนวดไทยในราชสำนักสยาม ซึ่งสืบเนื่องยาวนานไม่น้อยกว่า 460 ปี นับจากกรุงศรีอยุธยา

โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติการแพทย์ พระพุทธศักราช 2466 ซึ่งเป็นกฎหมายด้านสุขภาพฉบับแรกของสยามประเทศ ระบุ “การนวด” อยู่ในนิยามของการประกอบโรคศิลปะแผนโบราณอย่างชัดเจน

รัชกาลที่ 7   มีกฎเสนาบดี แบ่งผู้ประกอบโรคศิลปะเป็นแผนปัจจุบันและแผนโบราณ ทำให้มีการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบโรคศิลปะแผนโบราณสาขาการนวดเป็นครั้งแรก

พ.ศ. 2475 (หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475) มีการก่อตั้งสมาคมแพทย์แผนโบราณแห่งประเทศไทย มีการสอนนวด

รัชกาลที่ 8  ตรา พ.ร.บ. ควบคุมการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. 2479 โดยยกเลิก พ.ร.บ. การแพทย์ 2466 และตัดสาขาการนวดในการประกอบโรคศิลปะแผนโบราณออก โดยไม่มีบทเฉพาะ-กาล ซึ่งหมายความว่า ไม่ควบคุมการนวดไทย

รัชกาลที่ 9 มีการก่อตั้งโรงเรียนแพทย์แผนโบราณที่วัดพระเชตุพนฯ ในระยะแรกมีการเรียนการสอนเฉพาะวิชาเวชกรรมแผนโบราณ และเภสัชกรรมแผนโบราณเท่านั้น ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2504 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินไปในงานประกวดกวีที่วัดพระเชตุพนฯ เสด็จผ่านหน้าโรงเรียนแพทย์แผนโบราณ คณาจารย์ได้นำตำราแพทย์แผนโบราณของโรงเรียนอายุรเวททูลเกล้าถวาย ทรงถามถึงวิชาหมอนวด ปี พ.ศ. 2506 ได้ก่อตั้งสมาคมแพทย์แผนโบราณวัดพระเชตุพนฯ ขึ้นมีการสอนและให้บริการนวดแผนโบราณ

มีการจัดตั้งสมาคมต่างๆ 

สถาบันการศึกษา

ภาครัฐและเอกชนให้ความสำคัญ

พ.ร.บ. การประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. 2542

ปัจจุบันมีสภาการแพทย์แผนไทยและ พ.ร.บ. วิชาชีพการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2556

การนวดแบบทั่วไป (แบบเชลยศักดิ์)

หมายถึง การนวดแบบสามัญชน มีการสืบทอด ฝึกฝนแบบแผนการนวดตามวัฒนธรรมท้องถิ่น ซึ่งเหมาะสมมากสำหรับชาวบ้านนวดกันเองใช้สองมือและอวัยวะส่วนอื่นโดยไม่ต้องใช้ยา

เป็นการนวดบริเวณกล้ามเนื้อและข้อต่างๆ ของร่างกาย

มีการสอนแบบสืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษ เป็นการนวดตามวัฒนธรรมท้องถิ่นในแต่ละท้องถิ่น มีวิธีการนวดแตกต่างกัน

โดยจะเริ่มนวดตั้งแต่เท้าขึ้นไป และนวดทั่วทั้งตัว

เอกลักษณ์ของนวดแบบเชลยศักดิ์

1. มีความเป็นกันเองกับผู้ป่วย

2. เริ่มนวดที่ฝ่าเท้า

3. ใช้อวัยวะทุกส่วน เช่น มือ เข่า ศอก ในการนวด

4. ทำการนวดผู้ป่วยท่านั่ง นอนหงาย ตะแคงและท่านอนคว่ำ

5. มีการนวดโดยใช้เท้า เข่า ศอก มีการดัดงอข้อและส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย

6. ผู้นวด เน้นผลที่เกิดจากกดและนวดคลึงตามจุดต่าง ๆ

การนวดแบบราชสำนัก

หมายถึง การนวดเพื่อถวายกษัตริย์และเจ้านายชั้นสูงของราชสำนัก

ผู้นวดจะต้องเดินเข่าเข้าหาผู้ป่วย (ห่าง 4 ศอก) แล้วนั่งพับเพียบและคารวะขออภัยผู้ป่วย

หมอจะคลำชีพจรที่ข้อมือ และหลังเท้าข้างเดียวกันเมื่อตรวจดูอาการของโรคจึงเริ่มทำการนวดคล้ายกับการนวดแบบทั่วไป ต่างกันที่ตำแหน่งการวางมือ องศาที่แขนของผู้นวด ซึ่งต้องกระทำอย่างสุภาพยิ่ง

การเรียนการสอนจะพิจารณาถึงผู้เรียนอย่างประณีตถี่ถ้วน การสอนมีขั้นตอน การนวดที่สุภาพ การนวดเป็นเอกลักษณ์ เป็นการนวดพื้นฐานต่างๆ

เอกลักษณ์ของนวดแบบราชสำนัก

1. ต้องมีกิริยามารยาทเรียบร้อย เดินเข่าเข้าหา ผู้ป่วยไม่หายใจรดผู้ป่วย ไม่เงยหน้า

2. เริ่มนวดตั้งแต่ใต้เข่าลงมาข้อเท้า หรือจาก ต้นขาลงมาถึงเท้า

3. ใช้เฉพาะมือเท่านั้น แขนต้องเหยียดตรงเสมอ

4. ทำการนวดผู้ป่วยที่อยู่ในท่านั่ง นอนหงายและตะแคง

5. ไม่มีการดัด งอข้อ

6. เน้นให้เกิดผลต่ออวัยวะและเนื้อเยื่อโดยยึดหลักการกายวิภาคเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและการทำงานของเส้นประสาท

 ความรู้พื้นฐานการนวดไทยแบบราชสำนัก

1.คุณสมบัติของหมอที่ดี

2.บุคลิกภาพที่ดี

3.สุขภาพร่างกายแข็งแรง

4.วางตัวให้เหมาะสม

5.แต่งกายสะอาด เรียบร้อย สุภาพ และเหมาะสมกับการนวด

6.วางตัวให้ผู้ป่วย นับถือ เคารพ ศรัทธา

7.ใช้คำพูดที่เหมาะสม ชัดเจน สื่อสารกับผู้ป่วยให้เข้าใจ

8.มีศีลธรรมจรรยาบรรณ

ศีลธรรมจรรยาบรรณ

มีองค์ประกอบ 5 ประการ ดังนี้

1.ตั้งสัจจะ

ศีลจรรยาบรรณที่ต้องยึดถือปฏิบัติ คือ

1.ไม่ดื่มสุราหรือสิ่งมึนเมา

2.ไม่เจ้าชู้

3.ไม่หลอกลวงผู้ป่วย เพื่อลาภ ยศ สรรเสริญ

สถานที่อโคจร (สถานที่ที่ไม่ควรนวด) ได้แก่ โรงแรม โรงน้ำชา โรงยาฝิ่น สถานการพนัน สถานเริงรมย์ และโรงพยาบาลที่ไม่มีการรักษาด้วยการแพทย์แผนไทย

2.การตั้งนิ้ว

3.ตั้งสมาธิ

4.ตั้งตา

5.ตั้งใจ

มรรยาทของผู้นวด

1.ผู้นวดต้องเดินเข่า เข้าหาผู้ป่วย โดยอยู่ห่างจากผู้ป่วย 4 ศอก ขณะเดินเข่าจะไม่แกว่งแขน อยู่ในท่าเคารพ มือแนบลำตัว

2.นั่งพับเพียบ (ปลายเท้าชี้ลงล่าง) ห่างจากผู้ป่วย 1 ศอก (หัตถบาท)

3.ยกมือไหว้ผู้ป่วย เพื่อแสดงความเคารพ เป็นการขออภัยที่ต้องถูกเนื้อตัว ตามยศ ตำแหน่ง อายุของผู้ป่วย

4.ตรวจชีพจร ทั้งมือและเท้า เพื่อตรวจดูลมเบื้องสูงและลมเบื้องต่ำ ว่าเท่ากันหรือไม่ และรวมถึงการทำงานของหัวใจ

5.ในขณะที่นวดไม่ควรก้มหน้า เพราะจะเป็นการหายใจรดผู้ป่วย หรือไม่แหงนหน้า หันซ้าย หันขวา เพราะเป็นการแสดงกิริยาที่ไม่สำรวม

ความรู้ความสามารถของในการนวด

ผู้นวด ต้องมีความรู้ในการนวดเป็นอย่างดี มีทักษะในการปฏิบัติต่อผู้ป่วย มีความชำนาญและความแม่นยำในจุดนวดรักษา เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นในขณะปฏิบัติงานซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อการนวด

ทักษะการนวด 

 ผู้นวดต้องหมั่นทบทวนความรู้ จนทำให้เกิดเป็นความชำนาญและความแม่นยำ ฝึกกำลังนิ้ว(ยกกระดาน) เพื่อให้เกิดแรงซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อการนวด

ทัศนคติต่อการนวด

การนวดถือเป็นศิลปะเฉพาะตัว เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ผู้ที่มีใจรัก ย่อมส่งผลให้การปฏิบัติและแสดงออกถึงความตั้งใจและจริงจัง มีความเอาใจใส่และจดจ่อต่อการรักษา

ความรู้ในการปฏิบัตินวดไทย

1.ท่า

ท่าสำหรับผู้ป่วย : ท่านอนหงาย, ท่านอนตะแคงคู้เข่า 90 องศา, ท่านั่งขัดสมาธิ, ท่านั่งห้อยเท้า

ท่านวดสำหรับหมอ : ท่านั่งพับเพียบ, ท่านั่งคุกเข่าคู่, ท่าพรหมสี่หน้า, ท่าหนุมานถวายแหวน, ท่ายืนหกสูง กลาง ต่ำ

2.การวางมือ : ใช้นิ้วมือกด (นิ้วเดี่ยว/นิ้วคู่), ลักษณะคว่ำมือ/หงายมือ, ใช้อุ้งมือ, ใช้ปลายนิ้ว 4 นิ้ว

3.ขนาดของแรงและระยะเวลา ที่ใช้ในการนวดแต่ละครั้งแต่ละจุด

ขนาดเบา(50 ปอนด์), ขนาดกลาง(70 ปอนด์) และขนาดหนัก(90 ปอนด์)

การกดต้องอาศัยวิธีการหน่วง เน้น นิ่ง (การแต่งรสมือ)

ระยะเวลา คาบน้อย(10 วินาที) สำหรับแนวเส้นพื้นฐาน และคาบใหญ่(30-45วินาที) สำหรับจุดสัญญาณ

4.ตำแหน่งนวด หรือจุดนวด

การนวดซ้ำในแต่ละจุด (จุดเน้น)

ข้อห้ามในการนวด

1. มีไข้เกิน 38.5 องศาเซลเซียส

   2. ไข้พิษ ไข้กาฬ เช่นสุกใส งูสวัด

     3. โรคติดต่อทางผิวหนัง

4. โรคติดต่อ เช่น วัณโรค เป็นต้น

   5. ไส้ติ่งอักเสบ

     6. กระดูกแตก ปริ หัก ร้าว ที่ยังไม่ติด

   7. สภาวะผิดปกติของเลือด เช่นเลือดไม่แข็งตัว

   8. สภาวะที่มีการอักเสบทั้งระบบของร่างกาย

ข้อควรระวังในการนวด

1. สตรีมีครรภ์

 2. ใส่อวัยวะเทียม หลังผ่าตัด

  3. สภาวะของความดันโลหิตสูงเกิน 140/90 mmHg

   4. สภาวะข้อต่อหลวม

ประโยชน์ของการนวด

1. บังคับเลือดลมเข้าไปเลี้ยงในส่วนที่ต้องการ

  2. กระตุ้นประสาทที่ไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ

    3. แก้ไขความผิดปกติของกระดูกและข้อต่อ

การนวดมีผลต่อระบบต่างๆภายในร่างกาย ดังนี้

1.ระบบไหลเวียนเลือด         

2.ระบบประสาท                   

3.ระบบกล้ามเนื้อ                 

4.ระบบผิวหนัง                      

5.ระบบทางเดินหายใจ         

6.  ระบบทางเดินอาหาร                                                                       

7.  ระบบกระดูก

8.  ระบบฮอร์โมน

9.  ระบบหัวใจ

10. ผลต่อจิตใจ

11. ระบบอื่นๆ เช่นสมอง หู ตา ฯลฯ

การนวดรักษา

การนวดรักษามีองค์ประกอบ ดังนี้

                                  1. สถานที่ : ขนาดเหมาะสม มีประตูที่สามารถมองลอดผ่านได้ ไม่มีอุปกรณ์ล๊อคประตู มีเตียงขนาดที่สภาฯกำหนด

                                  2. ผู้ป่วย :

                                   -  บอกให้ผู้ป่วยทราบถึงการรักษา บริเวณ ตำแหน่ง ความผิดปกติต่างๆที่ได้จากการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และจากการวินิจฉัยโรค

                                   -  จัดท่าผู้ป่วยให้เหมาะสม ดำเนินการรักษา

                                  3. หมอที่ทำการรักษา : หมอที่ทำการรักษาจะต้องศึกษาข้อมูลของผู้ป่วยให้ครบถ้วน สามารถแยกโรค อาการ สาเหตุ ปัจจัยและบอกวิธีการรักษา การให้คำแนะนำได้              

ขั้นตอนการรักษา

การค้นหาสาเหตุของโรค : การซักประวัติ ตรวจร่างกาย การวินิจฉัย ชื่อโรค

การรักษา : อาศัยเส้นพื้นฐาน 10 เส้น, จุด สัญญาณ50จุด
                - กระบวนท่านวด-สถานที่ ท่านวด การวางมือและนิ้วมือ

                                - การจ่ายพลัง โดยอาศัยการแต่งรสมือ น้ำหนักนิ้วมือ

                                - ผลการรักษา : นวดแล้วหาย นวดแล้วตึงขึ้น

การประเมินผลการรักษา

คำแนะนำหลังการนวด

การนัดผู้ป่วยมารับการรักษา : โดยปกติ 2 ครั้งต่อสัปดาห์

จำนวนครั้งการนวด : วิเคราะห์จากตัวโรค ผู้ป่วย ความชำนาญของหมอ ประกอบกับการตรวจหลังการรักษา         




องค์ความรู้การนวดไทย

การประยุกต์ใช้การนวกไทย


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนวดไทยบำบัด(นวดรักษา) 14โรค เอกสารจัดทำเพื่อผู้พิการทางสายตาเพื่อการอ่านโดยใช้แอพพลิเคชั่นเสียง

การนวดพื้นฐาน 95ท่า หนังสือผ่านแอพพิเคชั่นเสียงสำหรับผู้พิการทางสายตา

ความพร้อมกับการสอบปฏิบัตินวดไทยสิบสี่อาการ กลุ่มอาการที่สี่