คัมภีร์ทางการแพทย์แผนไทย ตอนที่ห้า...เอกสารสำหรับแอพพิเคชั่นอ่านออกเสียงนักเรียนผู้พิการทางการมองเห็น(หลักสูตรผู้ช่วยแพทย์)...เอกสารสำหรับแอพพิเคชั่นอ่านออกเสียงนักเรียนผู้พิการทางการมองเห็น(หลักสูตรผู้ช่วยแพทย์)

 คัมภีร์ทางการแพทย์แผนไทย ตอนที่ห้า...คัมภีร์ธาตุบรรจบ และ คัมภีร์มัญชุสารวิเชียร และคัมภีร์ชวดาร และคัมภีร์กษัย

คัมภีร์ธาตุบรรจบ ว่าด้วยโรคอุจจาระธาตุ และมหาภูตรูป


โรคอุจจาระธาตุ เป็นโรคทางเดินระบบทางเดินอาหาร เมื่อเกิดการเจ็บป่วยขึ้นทำให้มีลักษณะของอุจจาระผิดปกติ เช่น สี กลิ่น และอาการผิดปกติต่างๆ เกี่ยวกับการถ่ายอุจจาระ

1. ว่าด้วยสาเหตุของโรคอุจจาระธาตุ  ผู้ที่เป็นโรคอุจจาระธาตุ มีสาเหตุดังนี้

  -เนื่องจากผู้นั้นเป็นไข้ที่มีพิษจัด ตกถึงสันนิบาต แล้วเรื้อรังมา ธาตุนั้นแปรปรวน วิปริต อุจจาระไม่เป็นปกติ จึงกลายเป็นโรคอุจจาระธาตุ

 -รับประทานอาหารที่แปลก หรือรับประทานอาหารมากเกินกว่ากำลังธาตุ เป็นต้นว่า เนื้อสัตว์ดิบหรือเนื้อสัตว์ที่มีคาวมาก และไขมันต่างๆ หรือของหมักดอง หรือของบูดเน่า ธาตุนั้นก็วิปริตแปรปรวน กระทำให้ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยว ให้จุกเสียด อุจจาระก็วิปริตต่างๆ จึงกลายเป็นโรคอุจจาระธาตุ

 -ธาตุสมุฎฐาน มหาภูตรูป 4 ประชุมกันในกองสมุฎฐาน โทษละ 3 และ 3 ทำให้สมุฎฐานธาตุ กำเริบ หย่อน พิการ โดยพระอาทิตย์สถิตใน  12 ราศี ตามในพิกัดสมุฏฐาน ฤดู 6 กระทบให้เป็นเหตุ จึงกลายเป็นโรคอุจจาระธาตุ

2.ว่าด้วยกองพิกัดสมุฎฐานมหาภูตรูป(มหาภูตรูปเต็มหมวดหมู่) มีดังนี้

 พัทธะปิตตะ อพัทธปิตตะ กำเดา     ทั้ง 3 อย่างนี้ เป็นพิกัดในกองสมุฎฐานเตโช (กำเดาเป็นหัวหน้า)

 หทัยวาตะ สัตถกะวาตะ สุมนาวาตะ  ทั้ง 3 อย่างนี้ เป็นพิกัดในกองสมุฎฐานวาโย (สุมนาวาตะเป็นหัวหน้า)

 ศอเสมหะ อุระเสมหะ คูถเสมหะ      ทั้ง 3 อย่างนี้ เป็นพิกัดในกองสมุฎฐานอาโป (คูถเสมหะเป็นหัวหน้า)

 หทัยวัตถุ อุทริยะ กรีสัง                ทั้ง 3 อย่างนี้ เป็นพิกัดในกองสมุฎฐานปถวี (กรีสังเป็นหัวหน้า)

ทั้ง 3 กองนี้ เรียกว่า มหาภูตรูปเต็มหมวดหมู่


         แต่สมุฎฐานปถวีนี้ได้เป็นชาติ จะละนะ ขึ้นนั้นหามิได้ แต่เมื่อใดสมุฎฐานทั้ง 3 สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ดี เกิดเป็นชาติจะละนะขึ้นแล้ว สมุฎฐานปถวีก็พลอยมีกำลังขึ้น และสมุฎฐานทั้งปวง ก็กำเริบแรงกว่าเก่า เหตุว่าปถวีนั้นเป็นที่ตั้งแห่งภูมิโรคทั้งหลาย และเป็นที่ค้ำชู อุดหนุนโรคให้จำเริญ และจึงได้นามว่า มหาสันนิบาต หรือสันนิบาตกองใหญ่

***หมายเหตุ ชาติ(เกิดขึ้น)  จะละนะ(ตั้งอยู่) ภินนะ(ดับไป)

          มหาภูติรูป 4 บังเกิดขึ้นเมื่อกองปถวีธาตุ กำเริบ หย่อน พิการ มีพิกัดสมุฎฐานให้เป็นเหตุ คือบุคคลใด ไข้ก็ดี ไม่ได้ไข้ก็ดี ถ่ายอุจจาระออกมาเป็นสีดำ สีแดง สีขาว สีเขียว มีลักษณะเป็น มูลแมว มูลไก่ มูลเต่า หยาบก็ดี ละเอียดก็ดี มีอาการให้โทษ 15 ประการ คือ

 1.ให้ปวดท้อง

 2.ให้บริโภคอาหารไม่ได้

 3.ให้อาเจียน

  4.ให้นอนไม่หลับ

  5.ให้มึนมัวจับสะบัดร้อนสะบัดหนาวเป็นพิษ

  6.ให้ถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ไม่สะดวก

  7.ให้แน่นอกคับใจ

  8.ให้เสียวไปทั่วร่างกาย

  9.ให้เมื่อยทุกข้อทุกกระดูก

  10.ให้กลุ้มจิตระส่ำระสาย

  11.ให้เจรจาพร่ำพรู

  12.ให้ร้อนกระหายน้ำ

  13.ให้ร่างกายซูบผอม ผิวหนังสากแห้ง

  14.ให้เกิดละอองเป็นขุมขึ้นตามลิ้นตามปาก

  15.ให้เสียดตามชายโครง


           ความสำคัญกองมหาพิกัดสมุฎฐาน และมหาภูตรูปเต็มหมวดหมู่โดยย่อ ลักษณะกองโทษเกิดขึ้น 15 ประการ ซึ่งได้กล่าวมาแล้วนั้น เมื่อย่อลงแล้วจะมีลักษณะ 6 ประการ คือ

  1.อาการซึ่งกระทำให้วิปริตต่างๆ ระคนด้วยอังคะมังคานุสารีวาตา

 2. ให้ปวดอุทร ให้เสียวชายโครง และท้องน้อย โทษแห่งปิตคาด สัณฑฆาต รัตฆาต กระทำไม่ได้

เป็นปกติระคนกันเป็นเถาวัลย์เกลียว

  3.บริโภคอาหารมิได้ ให้เอาเจียน โทษแห่งปิงคลา (เส้น) กระทำ

   4.ให้ร้อนกระหายน้ำ กระวนกระวาย เจรจาพร่ำพรู โทษแห่งสุมนากระทำให้กำเริบขึ้น พัดดวงหทัยระส่ำระสายไม่ได้เป็นปกติ

  5. นอนไม่หลับจับเป็นพิษ โทษแห่งอังพฤกษ์กระทำตลอดถึงสุมนา กำเริบ หย่อน พิการ ไม่ได้เป็นปกติ

  6.อุจจาระปัสสาวะไม่สะดวก และให้แสบอกคับใจ โทษแห่งกุจฉิสยาวาตา และโกฎฐาสยาวาตา กำเริบขึ้นในลำไส้ไม่ได้ปกติ จัดเป็นหมวดหมู่แห่งอชินธาตุ ให้บังเกิดมีลักษณะ 6 ประการดังกล่าวมานี้


3. ว่าด้วยลักษณะอุจจาระธาตุ

ว่าด้วยอุจจาระธาตุ อุจจาระธาตุมีลักษณะเป็นสีดำ แดง ขาว เขียว

     (1) ปถวีธาตุ มีลักษณะอาการกระทำให้เสมหะเน่า ให้เจ็บท้อง ท้องขึ้น ให้เสียดแทง และเป็นอัมพฤกษ์ก็มี เป็นกระษัย เป็นป้าง เป็นช้ำ เนื้อเล็บมือเล็บเท้าเหี่ยวให้โลหิตตกทวารหนัก ทวารเบา กินอาหารไม่ได้ (อุจจาระออกมาเป็นสีดำ)

     (2) อาโปธาตุ ให้ลงท้อง เจ็บหน้าอก แปรเป็นกล่อน อุจจาระปัสสาวะไม่ออก นอนไม่หลับ ขัดหัวเข่า ปวดท้องเป็นพรรดึก กลิ้งขึ้น ขัดสีข้าง ถ้าหญิงขัดซ้ายรักษายากนัก แล้วแปรไปให้ขัดหัวเข่า และน่อง ให้เท้าเย็นมือเย็น บังเกิดเสลดกล้า ผอมแห้ง เจ็บหน้าอก ร้อนหน้าตาดังไข้จับ (อุจจาระออกมาเป็นสีแดง)

     (3) วาโยธาตุ ให้ตาพร่า เมื่อยมือเมื่อยเท้า เป็นตะคริว และขัดหัวเข่า เมื่อยสันหลังสองเกลียวข้างแข็ง สมมุติว่าเป็นฝีเส้น อาเจียนแต่ลมเปล่า ขัดอกเจ็บในท้อง หนักหน้าตา (อุจจาระออกมาเป็นสีขาว)

     (4) เตโชธาตุ กระทำให้ร้อนปลายมือปลายเท้า ให้เจ็บปวดดุจปลาดุกยอก แปรไปให้สันหลังบวม และผื่นขึ้นทั่วสรรพางค์กายดังผด และหัด ทำให้เจ็บท้อง และตกบุพโพ (หนอง) โลหิต ให้มือ และเท้าตาย แก้มิฟังจะมรณะ (อุจจาระออกมาเป็นสีเขียว)

ว่าด้วยอสาทิยะอุจจาระคันธารธาตุ

     (1) กลิ่นดังหญ้าเน่า ระคนด้วย มลอะชินะ ( เตโชธาตุสมุฎฐาน) ให้เป็นเหตุ มีอาการให้ปากแห้ง คอแห้ง ให้หนักตัว ให้วิงเวียน ให้อุจจาระปัสสาวะไม่สะดวก ให้เหงื่อไหลหยดย้อย (อาการให้โทษ 5 ประการ)

     (2)  กลิ่นดังข้าวบูด ระคนด้วย วิวัฒฑะอชินะ (วาโยธาตุสมุฎฐาน) ให้เป็นเหตุ มีอาการให้โทษ 5 ประการคือ ให้เสียดแทง ให้เจ็บคอ ให้คันจมูก ให้เมื่อยทั่วร่างกาย ให้ตะครั่นตะครอ

     (3) กลิ่นดังปลาเน่า ระคนด้วยมะอะชินะ (อาโปธาตุสมุฎฐาน) ให้เป็นเหตุ มีอาการให้โทษ 3 ประการ คือ ให้อุจจาระปัสสาวะไม่สะดวก ให้เจ็บอก ให้น้ำลายไหล

     (4) กลิ่นดังซากศพเน่าโทรม ระคนด้วยวัฒฑะอชินะ (ปถวีธาตุสมุฏฐาน) ให้เป็นเหตุ มีอาการให้โทษ 3 ประการ คือ ให้เจ็บอก ให้เจ็บในท้อง ให้บวมมือ บวมเท้า บางที่บวมทั่วร่างกาย

***หมายเหตุ อชินโรค คือ กินยากินอาหารไม่ถูกไม่ต้องกันกับโรค    ส่วนอชินธาตุ คือกินยากินอาหารไม่ถูกกับธาตุ

ยารักษาโรคอุจจาระธาตุ มี 4 ขนาน คือ

ขนาดที่ 1 ชื่อยาพรหมภักตร์

ส่วนประกอบ   

โกฐทั้งห้า,เทียนทั้งห้า (อย่างละ 1 ส่วน)

ตรีผลา,ตรีกฎุก,เปราะหอม,ผลเอ็น (สิ่งละ 2 ส่วน)

ผลจันทน์,การบูร,ขิง,ยาดำ (สิ่งละ 4 ส่วน)

วิธีใช้ บดเป็นผง บดทำเป็นเม็ดไว้รับประทาน รับประทานครั้งละ 1 เม็ด ก่อนอาหาร 3 เวลา เช้า กลางวัน เย็น ละลายน้ำเปลือกมะรุมต้ม เป็นกระสาย

สรรพคุณ แก้ท้องเสีย แก้ปวดท้อง ขับลม

ขนานที่ 2 ชื่อยามหาพรหมภักตร์

ส่วนประกอบ

โกฐสอ,โกฐหัวบัว,โกฐชฎามังสี,เทียนดำ,เทียนขาว (สิ่งละ 1 ส่วน)

เปราะหอม,ผลเอ็น,ลูกผักชีทั้งสอง,ลูกโหระพาเทศ (สิ่งละ 2 ส่วน)

รากส้มกุ้งน้อย,เปล้าน้อย (สิ่งละ 3 ส่วน)

หัศคุณเทศ,ยาดำ (สิ่งละ 4 ส่วน )

ตรีกฎุก,มหาหิงคุ์ ,กานพลู,การบูร (สิ่งละ 5 ส่วน)

ลูกสมอไทย (สิ่งละ 8 ส่วน)

ยางสลัดไดประสะ (สิ่งละ 24 ส่วน)

วิธีใช้ บดเป็นผง เอาน้ำโสฬสเบญจกูล เป็นกระสาย บดทำเป็นเม็ด ไว้กินตามกำลัง

สรรพคุณ แก้อุจจาระธาตุไม่ปกติ

ขนานที่ 3 ชื่อยามหิทธิมหาพรหมภักตร์

ส่วนประกอบ  

โกฐกระดูก,โกฐเชียง,โกฐจุฬาลัมพา,โกฐจุฬารส,เทียนดำ (สิ่งละ 1 ส่วน)

ลูกราชดัด,ลูกโหระพาเทศ,ลูกผักชีทั้งสอง (สิ่งละ 2 ส่วน)

เปราะหอม,สมุลแว้ง,จันทน์ทั้งสอง (สิ่งละ 3 ส่วน)

ลูกสมอไทย,กานพลู,ลูกจันทน์  (สิ่งละ 3 ส่วน)

ตรีกฎุก,มหาหิงคุ์,ยาดำ,หัศคุณเทศ (สิ่งละ 4 ส่วน)

รากจิงจ้อ,การบูร,รากส้มกุ้ง (สิ่งละ 4 ส่วน)

ยางสลัดไดประสะ (สิ่งละ 32 ส่วน)

วิธีใช้ บดเป็นผง ใช้พิกัดเบญจกูลเป็นกระสายยา ทำเป็นเม็ดไว้รับประทานก็ได้ หรือใช้น้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอนก็ได้ รับประทานครั้งละ 1 เม็ด 3 เวลาก่อนอาหาร

สรรพคุณ แก้ท้องเสีย และแก้โรคธาตุผิดปกติ


ขนานที่ 4 ชื่อยาอัศฎาธิวัต

ส่วนประกอบ 

ดอกบุนนาค,เกสรบัวหลวง,เทียนดำ (สิ่งละ 2 ส่วน)

เบญจกูล,กะทือ,ไพล,ข่า,กระชาย,หัวหอม (สิ่งละ 4 ส่วน)

กระเทียม,ขมิ้นอ้อย,ผลมะตูมอ่อน (สิ่งละ 4 ส่วน)

ยาดำ (ละ 5 ส่วน)

ลูกสมอเทศ,ลูกสมอพิเภก (สิ่งละ 8 ส่วน)

ลูกสมอไทย,เปลือกต้นไข่เน่า,รากเล็บมือนาง (สิ่งละ 1 กำมือ)

รากอ้ายเหนียว,กระพังโหม,กะเพราทั้งห้า (สิ่งละ 1 กำมือ)

ฝักราชพฤกษ์  (จำนวน 10 ฝัก)

วิธีใช้  ขยำเอาน้ำเป็นกระสาย ต้มตามวิธี ให้รับประทาน

สรรพคุณ แก้จุกเสียด แก้อาเจียน บริโภคอาหารไม่ได้ แก้ปวดท้อง ท้องเสีย และรักษาโรคริดสีดวงทวาร


ยารักษาโรคอุจจาระธาตุ ยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณ

ขนานที่ 1. ชื่อยาธรณีสันฑะฆาต

ส่วนประกอบ  

ลูกจันทน์  ดอกจันทน์  ลูกกระวาน  กานพลู  เทียนดำ  เทียนขาว  หัวดองดึง  หัวบุก หัวกลอย  หัวกระดาดขาว  หัวกระดาดแดง ลูกเร่ว ขิง ชะเอมเทศ รากเจตมูลเพลิงแดง  โกฐกระดูก โกฐเขมา โกฐน้ำเต้า หนักสิ่งละ 1 ส่วน

ฟักแพวแดง  เนื้อลูกมะขามป้อม หนักสิ่งละ 2 ส่วน

เนื้อลูกสมอไทย มหาหิงคุ์ การบูร หนักสิ่งละ 6 ส่วน

รงทอง (ประสะแล้ว) หนัก 4 ส่วน

ยาดำ หนัก 20 ส่วน

พริกไทยล่อน หนัก 96 ส่วน

วิธีทำ บดเป็นผง

สรรพคุณ แก้กระษัยเส้น เถาดาน ท้องผูก

ขนาดรับประทาน วันละ 1 ครั้ง ก่อนอาหารเช้าหรือก่อนนอน ครั้งละ 1/2 – 1 ช้อนกาแฟ ละลายน้ำสุก หรือผสม น้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอน

คำเตือน คนเป็นไข้ หรือสตรีมีครรภ์ ห้ามรับประทาน

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

 คัมภีร์มุจฉาปักขันทิกา เป็นตำราที่ว่าด้วยอาการของโรคบุรุษและโรคสตรี รวมถึงยาสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคบุรุษและสตรี พระคัมภีร์นี้แบ่งอาการของโรคออกเป็น 8 ประการ ได้แก่


1.ทุลาวสา เป็นโรคที่เกิดขึ้นกับบุรุษเท่านั้น มีอาการผิดปกติเวลาถ่ายปัสสาวะ ลักษณะของทุลาวสาแบ่งออกเป็น 4 ชนิด

2.มุตคาต เป็นโรคที่เกิดขึ้นเฉพาะกับสตรี มีอาการของการถ่ายปัสสาวะผิดปรกติ ลักษณะของมตุคาตแบ่งออกเป็น 4 ชนิด

3.มุตกิต เป็นโรคที่เกิดขึ้นเฉพาะกับสตรีเช่นกัน เป็นลักษณะที่น้ำปัสสาวะมีความผิดปรกติและรุนแรงกว่ามุตคาต มุตกิตแบ่งออกเป็น 4 ชนิด

 4.สันทะคาต เป็นโรคที่เกิดขึ้นได้ทั้งกับบุรุษและสตรี สันทะคาตแบ่งออกเป็น 4 ชนิด

 5.องคสูตร เป็นโรคที่เกิดเฉพาะในบุรุษ มีอาการเจ็บที่องคชาตและลูกอัณฑะ แบ่งออกเป็น 4 ชนิด

 6.ช้ำรั่ว เป็นโรคที่เกิดเฉพาะสตรีเท่านั้น ช้ำรั่วเป็นอาการผิดปกติเกี่ยวกับมดลูก มี 4 ชนิด

  7.อุปทม เป็นโรคที่เกิดทั้งในบุรุษและสตรี(โรคจากเพศสัมพันธ์) อุปทมแบ่งออกเป็น 4 ชนิด

 8.ไส้ด้วน เป็นโรคที่เกิดขึ้นเฉพาะในบุรุษเท่านั้น  ไส้ด้วน(จากภายนอกแล้วขยายเข้าไปภายใน) ไส้ลาม(เกิดจากข้างในและลามไปข้างนอก)แบ่งออกเป็น 4 ชนิด

โรคอันเกิดแก่บุรุษและสตรีดังกล่าวมีอาการที่น่ากลัวมาก พระคัมภีร์มุจฉาปักขันทิกา บอกถึงวิธีการรักษาด้วยยาสมุนไพรทั้ง ๓๒ ชนิด ตามลักษณะของโรคที่มีอาการต่างๆ กันออกไป นอกจากนี้ยังกล่าวถึงโรคนิ่ว โรคริดสีดวง และการใช้สมุนไพรรักษาอาการของโรคดังกล่าวด้วย


คัมภีร์มุจฉาปักขันทิกา นี้กล่าวถึง ทุรวสา 32 จำพวก คือ

ทุราวสา (ความผิดปกติของน้ำปัสสาวะ) 12 จำพวก     และปะระเมหะ(โรคที่เกิดจากน้ำปัสสาวะ และเมือกมันหรือเปลวแข็ง ซึ่งมีลักษณะขุ่นคล้ายหนอง) 20 จำพวก


ทุรวสา (ความผิดปกติของน้ำปัสสาวะ)  12 จำพวก แบ่งออกเป็น

1.ทุรวสา  4 จำพวก

2.มุตฆาต 4 จำพวก

3.มุตกิด   4 จำพวก

ปะระเมหะ 20 จำพวก แบ่งออกเป็น

1.สัณฑะฆาต 4 จำพวก

2.องคสูตร 4 จำพวก

3.ช้ำรั่ว 4 จำพวก

4.อุปทม (อุปทังสโรค) 4 จำพวก

5.ไส้ด้วน 4 จำพวก

อาการ และลักษณะแสดงของโรค

1.ทุรวสา มี 4 จำพวก ( น้ำปัสสาวะชั่ว) ดังนี้

1.1ปัสสาวะออกมาเป็น สีขาว ขุ่นดังน้ำข้าวเช็ด

1.2ปัสสาวะออกมาเป็น สีเหลือง ดังน้ำขมิ้นสด

1.3ปัสสาวะออกมาเป็น โลหิตสดๆ แดงดังน้ำฝางต้ม

1.4ปัสสาวะออกมาเป็น สีดำ ดังน้ำคราม ( น้ำครำ)

อาการ ให้ปวดหัวเหน่า ให้แสบองคชาต ให้สะบัดร้อนสะบัดหนาว เป็นไปต่างๆ

2.มุตฆาต มี 4 จำพวก ดังนี้

2.1ปัสสาวะออกมาแดงขุ่นข้น ให้ปวดขัดเจ็บเสียวเป็นกำลัง

2.2ปัสสาวะออกมาแดง ขุ่นข้น เป็นโลหิตช้ำปนโลหิตสด

2.3ปัสสาวะออกมาแดงขุ่นข้น เป็นหนองช้ำขุ่นข้น

2.4ปัสสาวะออกมาแดงขุ่นข้น เป็นสีดำดุจดังน้ำคราม (น้ำครำ)

อาการ เกิดด้วยกระทบชอกช้ำ จึงสำแดงโทษ ให้ขัดสองราวข้าง เส้นปัตคาต ให้เสียด แทงในอก เคลื่อนกายไม่สะดวก บริโภคอาหารมิได้ ให้อาเจียนลมเปล่า เป็นต้น

3.มุตกิตมี 4 จำพวก ดังนี้

3.1ปัสสาวะออกมาดุจโลหิตช้ำ และดังน้ำปลาเน่า

3.2ปัสสาวะออกมาเป็นโลหิตจาง ดุจน้ำชานหมาก

3.3ปัสสาวะออกมาเป็นน้ำหนองจางๆ ดุจน้ำซาวข้าว

3.4ปัสสาวะออกมาเป็นเมือกคล่องๆ ขัดๆ หยดย้อย ดุจน้ำมูกไหลเลือกออกมา

อาการ กระทำให้เจ็บ ให้ขัดไหลหยดย้อยออกมา แล้วให้ปวดหัวเหน่า ข้อตะโพก แสบในอก บริโภค อาหารไม่รู้รส ทั้งนี้ เกิด เพื่อโลหิตช้ำ

4.สัณฑะฆาต มี 4 จำพวก ดังนี้

4.1สัณฑฆาต เกิดเพื่อโลหิตแห้ง ถ้าบังเกิดแก่สตรี ว่าด้วยโลหิตเดินมิสะดวก คุมกันเป็นก้อน ประมาณเท่าฟองไข่ติดกระดูกสันหลังข้างใน มักให้เจ็บหลังบิดตัว ให้จุกแน่น หน้าอก ดังจะขาดใจ ถ้าบุรุษว่า ด้วยไข้อันถึงพิฆาต คือตกต้นไม้ ถูกทุบถองโบยตีสาหัส พิการช้ำในอก โลหิตจึงเกาะกันเป็นก้อนดาน กระทำให้ร้อน เสียดแน่นยอกสันหลัง มีประเภทต่างๆ เป็น อสาทิยาโรค ( อสัณฑฆาต)

4.2สัณฑฆาต เกิดเพื่อกาฬ เกิดขึ้นภายใน ดี ตับ ปอด และหัวใจ บังเกิดสัณฐานดุจเม็ดข้าวสารหัก บางทีขึ้นในไส้อ่อน ไส้แก่ ถ้าขึ้นดี ให้คลั้งเพ้อ ถ้าขึ้นตับ ให้ตับหย่อน ให้ตกโลหิตมีอาการดุจ ปีศาจเข้าสิง ถ้าขึ้นในปอด ให้กระหายน้ำ ถ้าขึ้นในหัวใจ ให้นิ่งไป เจรจามิได้ ถ้าขึ้นในไส้อ่อน ไส้แก่ ให้จุกโลหิต ท้องขึ้น ท้องพอง ดังมานกระษัย ถ้าเป็นดังกล่างมานี้ กำหนด 7-8-9 วัน โลหิตจะแตกออกในทวารทั้ง 9 เรียกว่า รัตติปิตตโรค เป็นต้น แห่ง สัณฑฆาต เป็นอติสัยโรค ( ตรีสัณฑฆาต)

4.3สัณฑฆาต เกิดเพื่อปัตคาด บังเกิดมีอาการกระทำให้ท้องผูก เป็นพรรดึก และให้เลือดแห้ง แล้วจึงบังเกิดวาโยกล้าพัดโลหิตให้เป็นก้อนเข้าอยู่ในอุทร ให้เจ็บไปทั่วสรรพางค์กาย เมื่อยบั่นเอว และมือเท้า ตาย ให้ขบขัดเบาและตะโพก ให้ท้องขึ้นและตึงลงในทวารเบา บริโภคอาหารไม่มีรส ให้ปากเปื่อยเสียงแหบแห้ง เวียนศีรษะอยู่เป็นนิจ น้ำตาไหล และตามืด หูตึง เมื่อจะเป็นให้มึนตึงตัว ไม่อยากรับประทานอาหาร บางคราวให้ร้อน บางคราวให้หนาว บางครั้งให้อยากเปรี้ยว อยากหวาน โทษทั้งสิ้นนี้ เกิดเพื่อ ปัตคาต ให้โทษ ( โทสัณฑฆาต) เทียบได้กับอาการโลหิตจางของแผนปัจจุบัน

4.4สัณฑฆาต เกิดเพื่อกล่อนแห้ง บังเกิดมีอาการกระทำให้เจ็บกระบอกตา ให้เมื่อยไปทั่วทั้งตัว เจ็บที่สะดือ ตลอดไปถึงอัณฑะ ให้คันองคชาต ให้เจ็บแสบร้อน แล้วแตกออกเป็นน้ำเหลืองไหลซึมไป อนึ่ง กระทำให้เม็ดงอก ขึ้นในรูองคชาต เท่าผลพริกเทศ ครั้นนานเข้าดังยอดหูด ปัสสาวะก็เปลี่ยนไปเป็นสีต่างๆ 4 ประการ กระทำให้อาเจียน เป้นน้ำลาย น้ำลายฝาด อสาทิยโรค รักษายากนัก

5.องคสูตร แบ่งออกได้ 4 จำพวก ดังนี้

5.1องคสูตร เกิดในเดือน 5-6-7 ( คิมหันตฤดู) นั้น เมื่อจะเกิด ให้ลูกอัณฑะข้างขวานั้งพองแดง ขึ้นดังผลตำลึงสุก ทำให้แสบร้อนเป็นกำลัง และโลหิตมักลงไปตามช่องปัสสาวะ ทำให้ปวดแสบปวดร้อน ไปตามเส้นเอ็นทั้งปวง เจ็บแต่สองราวข้าง ให้เสียดแทง อุจจาระผูกเป็นพรรดึก ขัดปัสสาวะเดินไม่สะดวก โทษทั้งนั้เกิดเพื่อโลหิต 3 ส่วน วาโยระคน 2 ส่วน รักษายาก

5.2องคสูตร เกิดในเดือน 8-9-10 ( วสันตฤดู) นั้น มักให้เจ็บในอก และขาทั้ง 2 ข้าง ให้เจ็บเสียวตาม กระดูกสันหลังกระหวัดมาราวนม และบ่าทั้งสองข้าง แล่นไปปลายเท้าทั้ง 2 ข้าง ให้ขบไปตอดดัง มดตะนอยต่อย ให้สะท้านร้อนสะท้านหนาว วิงเวียนหน้าตา ให้ชักหลังงอ เวลาปัสสาวะ ให้แสบร้อนในรูองคชาตไป จุกอุจจาระให้เป็น มูกเลือดออกมา โรคนี้เกิดขึ้นเพื่อวาโย 2 ส่วน เพื่อเสโทโลหิต 1 ส่วน บังเกิดแต่ลำไส้ออกมา ลักษณะดังนี้เป็น อสาทยโรค รักษายากนัก

5.3องคสูตร เกิดในเดือน 11–12-1 ( เหมันตฤดู) นั้น เมื่อบังเกิดขึ้นให้ปวดในรูองคชาต ปัสสาวะเล็ดออกมา ปัสสาวะหยดย้อย เจ็บบั่นเอว ทานอาหารไม่ได้ โทษเกิดเพื่อเสมหะ 3 ส่วน โลหิต 2 ส่วน ครั้นนานเข้าทำให้ไส้ขาดออกมา ก็ถึงแก่ความตาย เป็นอติสัยโรครักษาไม่ได้เลย ถ้าจะแก้ แก้แต่ยังอ่อนอยู ถ้าแก้ ให้แก้โลหิตเสียก่อน แล้วจึงแก้เสมหะ ต่อไปตามลำดับ

5.4องคสูตร เกิดในเดือน 2-3-4 ( สันนิปาตฤดู) เวลาเกิดขึ้นกระทำให้ผิวอัณฑะดำ และบวม มีพิษแสบร้อนมาก อัณฑะฟกข้างหนึ่งมีพิษแสบร้อนมาก เจ็บตาข้างหนึ่ง ปวดศีรษะข้างหนึ่ง บังเกิดด้วยโลหิตสันนิบาต ปัสสาวะเป็นน้ำเหลือง โลหิตเจือออกมา แสบตามช่องปัสสาวะ ให้เสียดสองราวข้าง และหน้าอก ขึ้นมาตามเกลียวปัตคาด จับเป็นเวลา ทานอาหาร ไม่ได้ อาเจียนลมเปล่าต้นคอ คอแห้ง น้ำลายเหนียว ตกเสมหะโลหิตทางทวารหนักดุจเป็นบิด ร้อนนัยน์ตา สวิงสวาย กองสันนิปาต ฤดูทั้ง 3 มาประชุมพร้อมกัน กำหนดมิได้

6.ช้ำรั่ว ( เฉพาะสตรี) มี 4 จำพวก ดังนี้

6.1เกิดเพราะสตรีคลอดบุตรแล้ว อยู่ไฟไม่ได้ เนื่องจากมดลูกไม่เข้าอู่หรือปวดขึ้นกลับ อยู่นาน จนกลาย เป็นหนองและโลหิต ราว 2 ถึง 3 เดือน ก็มีโลหิตจางๆ ไหลออกมา ปนกับน้ำเหลือง อันมีพิษไหล ถึงไหนก็มีผื่นขึ้น ทำให้ขอบทวารเป็นหัวขาวๆ แล้วแตกเปื่อยลามไป

อาการ ทำให้ปวดแสบปวดร้อน คันในช่องคลอดและขอบทวารเบา และปวดเสียวในมดลูก ปัสสาวะหยดย้อย

6.2เกิดเพราะเสพเมถุนมากเกินประมาณ ปากทวารเปื่อยเน่า ได้รับความชอกช้ำ ภายในถึงปากมดลูก จึงเกิดเป็นน้ำหนอง น้ำเหลืองเน่าร้าย ไหลหยดย้อย ลุกลามกัดเนื้ออ่อนภายใน

6.3เกิดเพราะเป็นฝีที่มดลูก มีลักษณะบวม ปัสสาวะเป็นน้ำเหลือง บางครั้งเป็นเหมือนน้ำคาวปลา

อาการ ให้เจ็บปวดที่มดลูกเป็นกำลัง ขัดเสียวที่หัวเหน่า ปัสสาวะปวดแสบหยดย้อย อีกจำพวกหนึ่งเกิดกับสตรีรุ่นสาว ที่ยังไม่มีระดูประจำเดือน ร่วมเมถุนกับบุรุษ ถูกข่มขืนจากชายโดยหักหาญ ถึงโลหิตออกจากช่องทวาร มีอาการเจ็บปวดแสบจนกลายเป็นแผลเน่าเปื่อย ขัดปัสสาวะ และหยดย้อย

6.4เกิดเพราะสตรีชอบประกอบเมถุนกามส่ำส่อนเป็นเนืองนิจ จึงเกิดโรคตามนาม สมมุติว่า อุปทุม ( กามโรค) ร้ายแรงนัก ให้มีน้ำเหลืองน้ำหนองไหลออกมา ปัสสาวะกระปริดกระปรอย

อาการ ให้ปวดแสบร้อนภายในช่องคลอด และช่องทวารเบา ปัสสาวะหยดย้อย เจ็บ ขัดถึง บริเวณหัวเหน่า

7.อุปทม ( อุปทังสโรค) แบ่งออกได้ 4 จำพวก ดังนี้

7.1อุปทม เกิดเพราะการอักเสบ เนื่องด้วยเสพเมถุนกับสตรีที่ยังไม่มีระดู ข่มขืน กระทำชำเรา ด้วยความกำหนัด สตรีเพศพรหมจารี บุรุษข่มเหงเอาด้วยกำหนัดยินดี ซึ่งสตรีเป็นเพศพรหมจารี นั้น มิรู้รสกำหนัดยินดี ด้วยเปรียบประดุจดังช้างสารตัวใหญ่เข้าไปอยู่ในโพรงกระต่ายอันแคบแล้วจะได้คิดว่าเจ็บปวดนั้นหามิได้ ครั้นออกจากช่องคลอดแล้ว กระทำให้เจ็บปวดต่างๆ คือ ให้องค์กำเนิดช้ำนัก เดาะ เป็นหนอง เป็นโลหิตไหลออกมาตามช่องทวารเบาของตนเอง ได้รับความเจ็บปวดเวทนายิ่งนัก คือ ให้แสบร้อน ปัสสาวะไม่สะดวก ให้ลำช่องปัสสาวะบวมขึ้น แล้วก็เป็นหนองไหลออกมาตามช่องทวารเบา

7.2อุปทม เกิดเพราะเสพเมถุนกับหญิงแพศยาเป็นกาลกิณีสำส่อน ด้วยกามตัณหา เป็นอาจิณ ( หญิงสัญจรโรค หรือหญิงโสเภณี) เนื่องจากสตรีนั้นคบชู้สู่ชายมาก และช่องสังวาสนั้น ช้ำชอกด้วยกิเลส กามตัณหาเป็นนิจ ด้วยเหตุที่ทวารที่ชุ่มด้วยลามกตัณหานั้น ครั้นชายไปร่วมประเวณีด้วยสตรีนั้น ก็กระทำให้บังเกิดซึ่งโรคสมมุติว่า อุปทม โดยกำลังที่ชุ่มนั้นลำราบดุจน้ำใบไม้ น้ำหญ้าเน่า และมีผู้ไปย่ำน้ำนั้น ก็กัดเอาเปื่อยพังไป เกิดทุกข์เวทนา เป็นอันมาก

7.3อุปทม เกิดเพราะโทษดานและกระษัยกล่อน และกาฬมูตร มักเกิดขึ้นตั้งแต่สะดือลงไปถึงหัวเหน่า เรียกว่า โรคสำหรับบุรุษ บังเกิดแก่บุคคลบริสุทธิ์มิได้มักมากในทางกามตัณหา คือสมณะ ภิกษุ สามเณร ภิษุณี พราหมณ์ทั้งหลาย อันมีศีลอันบริสุทธิ์ ไม่ได้เสพเมถุน กับมาตุคามเลย โรคนั้นก็บังเกิดขึ้น ด้วยโทษดานและกระษัยกล่อน ทำให้แสบร้อน ปัสสาวะมิได้ รับประทานยาถูกก็หายไป แล้วกลับเป็นอีก หลายครั้งหลายหน ครั้นนานเข้ามักกลาย เป็นหนอง บุพโพโลหิตไหลออกมาทางช่องทวารเบา ให้เจ็บปวดต่างๆ ผู้ใดเป็นดังกล่าวมานี้ เรียกว่า โรคบุรุษ จะได้เป็นอุปทม นั้นหามิได้   (โรคหนองในเทียม)

7.4อุปทมเกิดเพราะนิ่ว บุรุษกลายเป็นคชราช มักเกิดที่ปลายองค์กำเนิด แล้วลามเข้าไปในช่องปัสสาวะ องค์กำเหนิดบวมขึ้นแล้วแข็งเข้าเป็นดาน ถ้าสตรี ออกมาแต่ทวารครรภ์เป็นดังดาก สมมุติว่า ดากโลหิต นั้นหามิได้ คือ อุปุทังสโรค ดังกล่าวมานี้ นานเข้าก็ลามมาถึงหัวเหน่า กระทำให้โลหิตเป็นลิ่ม เป็นแท่งออกมา บางทีปลายดากขาดออกมาเหม็นคาวนัก บางทีเป็นหนอง เป็นโลหิตออกมา ให้ปวดหัวเหน่า และท้องน้อย ดังจะขาดใจโรคดังกล่าวมานี้เป็น อติสัยโรค รักษามิได้ ถ้าจะรักษา ก็รักษายาก

8.ไส้ด้วน ( เป็นหนอง) มี 4 จำพวก ดังนี้ ( เกิดจากภายนอกถึงภายใน)

8.1เกิดจากชาย ชอบเสพเมถุนส่ำส่อน จึงเกิดเป็นเม็ดทั้งข้างในและข้างนอก มีหนองออกมา หรือเป็นฝี 2 หน้าขา บางทีเป็นเม็ดขึ้นทั่วร่างกายอาการ ให้เจ็บปวดยิ่งนัก ขัด ยอก ปวดตามกระดูก ขัดปัสสาวะ(โรคซิฟิลิส)

8.2เกิดจากชายเสพเมถุนกับสตรี ซึ่งกำลังมีประจำเดือน ทำให้เกิดเป็นเม็ด เป็นแผล ภายในบ้าง เป็นเม็ด เป็นผื่น เป็นวง เป็นแผ่นตามร่างกายภายนอกบ้าง

อาการ ให้ปวดแสบ ขัดยอก และปวดปัสสาวะ

8.3เกิดจากชายเสพเมถุนรุนแรง กระทบชอกช้ำภายใน มีลักษณะพึงสังเกตคือ เป็นเม็ด เป็นแผ่น แล้วมีน้ำหนอง น้ำเหลืองไหลออกมา บ้างก็เป็มเม็ดที่องคชาต หรือตามร่างกายภายนอก

อาการ ให้ปวดเจ็บยิ่งนัก บางทีขัดตามข้ ปัสสาวะขัดปวด แสบ

8.4เกิดจากชายเสพเมถุนกับสตรีแพศยาลามก เกิดเป็นฝี อุปทุม  (กามโรค) เป็นเม็ดขึ้นที่ปลายหรือรอบองคชาต ภายในช่องปัสสาวะ แล้วแตกเป็นโลหิต น้ำเหลือง น้ำหนองออกมา บางก็กลายเป็นฝี (โรคหนองใน)

อาการ ทำพิษให้ปวดแสบปวดร้อนดังไฟลวก บาทีให้เน่าแต่ปลายองคชาต ลามเข้าภายในช่องปัสสาวะ ทำให้ปวดแสบขัดปัสสาวะ

อีกนัยหนึ่งเรียกว่า ไส้ลาม มักเรียกคู่กันกับไส้ด้วน มีลักษณะผุดขึ้นเป็นเม็ดเหมือนกัน แต่เม็ดนั้นมักเกิด จากภายในออกมาภายนอก ภายในลามถึงหัวเหน่า ท้องน้อย ผุดขึ้นดังเช่นฝี แตกเป็นหนองออกมาทางช่องปัสสาวะ ชายหญิงเหมือนกัน

อาการ ให้ปวดมวนจุกเสียดแน่นในอก โดยน้ำเหลืองซึมเข้าไปในลำไส้ ให้อาเจียนหรือ ท้องเดินเป็นมูกเลือด เบื่ออาหาร ปวดขัดตามข้อกระดูก ปัสสาวะปวดแสบยิ่งนัก

โทสัณฑะฆาต

    โทสัณฑฆาต ย่อมเกิดแต่ชายหญิงทั้งหลาย ถ้าสตรีเป็นด้วยโลหิตระดูแห้ง เป็นก้อนเท่าฟองไข่ไก่ ติดกระดุกสันหลังข้างใน เจ็บหลังบิดตัวอยู่ประมาณ 14–15 วัน ครั้นนานเข้ามักเป็นลมจุกแดกดังจะขาดใจ ถ้ากินเผ็ดร้อนลงไปในโลหิตนั้นก็แห้งเข้าจึงให้ชื่อว่า สันนิจโลหิต ทำให้ลงเป็นโลหิต เป็นลิ่มเป็นแท่งเป็นก้อนออกมา บางทีตกไปในทวารหนักทวารเบา เป็นดังน้ำชานหมากจางๆ ดุจดังดินสอพอง

ถ้าบุรุษครั้งแรกที่จะเกิดโรคนี้ย่อมเป็นไข้พิษต่างๆ คือว่า ตกต้นไม้และหกล้ม ถูกตี กระทบกระแทกต่างๆ ถ้ามีดังนี้ ก็เป็นเพื่อโรคอันถึงพิฆาต อำนาจอันทุบถองโบยตี ซึ่งทำให้สาหัสชอกช้ำในอกในใจ และโลหิตนั้น ก็คุมกันเข้าเป็นก้อน ทำให้เจ็บร้อนเสียดแทงในอก และเสียดสันหลัง อาการต่างๆ สมมุติว่าเป็นยอดภายใน ครั้นวางยาผิด โลหิตนั้นก็กระจายออกแล่นเข้าตามกระดูกสันหลังก็ได้ชื่อวา สันนิจโลหิต ลงสู่ทวารหนัก ทวารเบา บุคคลทั้งหลายก็เรียกว่า อาสัณฑะฆาต เกิดว่าเป็นไข้อันพิฆาต บอบช้ำ ปีศาจก็พลอยสิงสู่ด้วย ถ้ารู้ไม่ทันก็ตาย

ตรีสัณฑะฆาต

ตรีสัณฑะ เกิดกาฬขึ้นในดี ตับ หัวใจ เป็นเม็ดเท่าเมล็ดเท่าข้าวสารหัก บางทีขึ้นในไส้อ่อน ไส้แก่ ให้ปวด

ถ้าขึ้นในดี เจรจาด้วยผี พูดเพ้อไป อาการคลั่งเพ้อไปต่างๆ

ถ้าขึ้นที่ตับ ลงเป็นโลหิต แล้วเป็นผีเข้าสิง เข้าจำอยู่

ถ้าขึ้นไส้อ่อน ไส้แก่ ให้จุกเสียด ท้องเฟ้อ เป็นมาน

ถ้าขึ้นในปอด ทำให้กระหายน้ำเป็นอันมาก

ถ้าขึ้นในหัวใจ เจรจามิได้ แน่นิ่งไป

ถ้าบุคคลใด เป็นดังกล่าวมาได้ 7-8 วัน โลหิตแตกซ่านไปในทวารทั้ง 9 เรียกว่า ลักปิด เป็นต้น แห่งสัณฑะฆาต ก็เป็นกรรมของผู้นั้น ถ้าแก้มิคลาย อันว่า สัณฑะฆาต เ กิดแก่บุคคลผู้ใด ก็ถึงแก่ความตาย


ยาที่ใช้รักษาอาการ มีดังนี้

ยาแก้น้ำปัสสาวะขาวข้นดังน้ำข้าวเช็ด

ส่วนประกอบ การบูร เทียนดำ ผลเอ็น อำพัน หัวแห้วหมู ขิงแห้ง ยาทั้งนี้หนักสิ่งละเสมอภาค

วิธีปรุงยา บดเป็นผง

รับประทาน ครั้งละ 1 ช้อนชา วันละ 2 เวลา ก่อนอาหาร เช้า-เย็น ละลายน้ำสุกเป็นน้ำกระสาย

ยาแก้น้ำปัสสาวะสีเหลืองดังน้ำขมิ้น

ส่วนประกอบ ลูกสมอไทย มหาหิงคุ์ รากเจตมูลเพลิงแดง สารส้ม สุพรรณถันแดง หนักสิ่งละ 1 สลึง

เทียนดำ หนัก 1 บาท

ดอกคำไทย หนัก 2 บาท

วิธีปรุงยา บดเป็นผง

รับประทาน ครั้งละ ครึ่งช้อนชา วันละ 2 เวลา ก่อนอาหาร เช้า-เย็น ละลายน้ำมะนาว เป็นกระสายยา


ยาแก้น้ำปัสสาวะสีแดงดังน้ำฝางต้ม

ส่วนประกอบ หัวแห้วหมู  รากมะตูม เทียนดำ รากเสนียด ใบสะเดา รากอังกาบ ผลเอ็น โกฐสอ  เกลือสินเธาว์ หนักสิ่งละ 2 บาท

วิธีปรุงยา บดเป็นผง

รับประทาน วันละ 2 เวลา ก่อนอาหาร เช้า – เย็น ละลายน้ำอ้อยแดง เป็นน้ำกระสายยา


ยาแก้น้ำปัสสาวะเป็นสีดำดุจน้ำครามหรือน้ำครำ

ส่วนประกอบ รากย่านาง เถาวัลย์เปรียง รากกระทุงหมาบ้า ฝางเสน หัวแห้วหมู หญ้าชันกาด แก่นขี้เหล็ก รากตะไคร้หางนาค ขมิ้นอ้อย ไพล รากหนามรอบตัว รากหวายขม หนักสิ่งละเสมอภาค

วิธีปรุงยา ต้ม

รับประทาน ต้ม 3 เอา 1 รับประทานครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ 3 เวลาก่อนอาหาร ละลายน้ำสุกเป็นน้ำกระสายยา

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


คัมภีร์กษัย

ในบทนี้จะกล่าวถึงโรคกระษัย ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้ร่างกายเกิดความสึกหรอ จะบังเกิดอาการเจ็บป่วยต่างๆ ดังคัมภีร์ต่อไปนี้

กระษัยมี 2 ประเภท แบ่งได้ 26 จำพวก คือ

ประเภทที่ 1 กระษัยเกิดเป็นอุปปาติกะโรค มี 18 จำพวก

ประเภทที่ 2 กระษัยเกิดแต่กองธาตุสมุฏฐาน มี 8 จำพวก

อาการของกระษัยประเภทที่ 1 กระษัยที่เกิดเป็นอุปปาติกะโรค (เกิดขึ้นเองไม่ทราบสาเหตุ) 18 จำพวก คือ

1.กระษัยล้น

เกิดด้วยน้ำเหลือง โดยกำลังวาโยพัดให้เป็นฟองข้นเข้าเป็นก้อน กระทำให้ท้องลั่นขึ้นลั่นลง ข้างขึ้นให้แดกอก ข้างแรมให้ถ่วงหัวเหน่า ดังจะขาดใจตาย

2.กระษัยราก

บังเกิดเพื่อ (เพราะ) ลม ร้องให้อาเจียนลมเปล่า และให้ลั่นในอุทรดังจ๊อกๆ ให้ตึงทั้งกายดุจบุคคลเอาเชือกรัดไว้ ให้ผู้นั้นร้องครางอยู่ทั้งวันทั้งคืนมิได้ขาด ดังจะขาดใจตาย

3.กระษัยเหล็ก

มีอาการกระทำให้หัวเหน่า และท้องน้อยแข็งดุจแผ่นศิลา ให้ไหวตัวไปมาไม่ได้ ครั้นแก่เข้าก็แข็งลามไปถึงยอดอก ให้บริโภคอาหารไม่ได้ ให้ปวดขบดังจะขาดใจตาย

4.กระษัยปู (โรคกระเพาะอาหารอักเสบ)

เกิดเพื่อ (เพราะ) โลหิตคุมกัน มีสัณฐานดังปูทะเล เข้ากินอยู่ในกระเพาะข้าว ให้ปวดขบท้องน้อยเป็นกำลัง บริโภคอาหารทับลงไปเมื่อใดค่อยสงบลง ครั้นสิ้นอาหารแล้วกระทำให้ขัดอยู่ในลำไส้ อั้นไปทั้งท้องเจ็บดังจะขาดใจ

5.กระษัยจุก

กล่าวคือวาโยเดินแทงเข้าไปในเส้นเอ็นภายใน เป็นอาคันตุกะวาตะ และให้เส้นนั้นพองขึ้นในท้อง ให้จุก ให้แดกดังจะขาดใจ นอนคว่ำร้องอยู่เป็นนิจ จะนอนหงายไม่ได้ ให้ทุกขเวทนาเป็นกำลัง

6.กระษัยปลาไหล

ครั้นนานเข้าจึงกระทำโทษ เอาหางชอนลงไปแทงเอาหัวเหน่า และทวารหนักทวารเบา แล้วให้ขัดอุจจาระ-ปัสสาวะ ให้ปัสสาวะเหลืองดังขมิ้น บางทีแดงดังน้ำฝางต้ม ดังน้ำดอกคำ และตัวกระษัยนั้นพ้นขึ้นตามลำไส้ เอาหัวแยงขึ้นไปถึงชายตับ และกระเพาะข้าว ถ้าบริโภคอาหารลงไปตัวกระษัยก็กัดเอาชายตับ ชายม้าม เจ็บปวดยิ่งนัก บางทีให้เมื่อยขบทุกข้อ ทุกกระดูก บางทีให้ขนลุกชูดุจไข้จับ

7.กระษัยปลาหมอ

มีจิตวิญญาณเกิดขึ้นในลำไส้ ถ้าข้างขึ้นตัวกระษัยบ่ายศีรษะขึ้นมา กัดเอาชายตับ ชายม้าม และปอด ทำให้จุกแดก ถ้าข้างแรมตัวกระษัยบ่ายศีรษะลงในท้องน้อย และหัวเหน่า ทำให้ขัดอุจจาระปัสสาวะให้เจ็บปวดเวทนาเป็นกำลัง ให้ร้องครวญครางอยู่ดังจะขาดใจตาย

8.กระษัยปลาดุก

เกิดขึ้นเพื่อ (เพราะ) โลหิต และน้ำเหลืองระคนกัน เกิดในกระเพาะข้าว มีจิตวิญญาณดังปลาดุก ถ้าในสตรีจับมดลูก ให้มีสัณฐานดังหญิงตั้งครรภ์ได้ 7-8 เดือนบางทีแทงไปซ้ายไปขวา ถ้าข้างขึ้นแทงไปยอดอกให้เจ็บอก ต้องสมมุติได้ บางทีให้หอบ ให้สะอึก ถ้าข้างแรมเลื่อนลงมาท้องน้อย และหัวเหน่า บางทีต่ำลงไปกระดูกสันหลัง ตึงลงไปต้นขาทั้ง 2 ข้าง ไม่ทันรู้ก็ว่ามีครรภ์

9.กระษัยปลวก

เกิดขึ้นเพื่อ (เพราะ) สัณฑะฆาต ทำให้ปวดขบทรวงอกดังจะขาดใจตาย เป็นแล้วหายไป 1 เดือน 2 เดือน 3 เดือน ก็กลับเป็นอีก เป็นอย่างนี้หลายครั้งหลายหน ครั้นนานเข้าทำให้ผิวเนื้อขาวซีด และเผือดผอมแห้งลง ไม่ทันรู้ว่าฝีปลวก ต่างกันตรงที่ฝีปลวกมีหนอง กระษัยปลวกไม่มีหนอง

10.กระษัยลิ้นกระบือ

เกิดเพื่อ (เพราะ) โลหิตลิ่ม ติดอยู่ชายตับ เป็นตัวแข็งยาวออกมาชายโครงด้านขวา มีสัณฐานดังลิ้นกระบือ กระทำให้ครั่นตัว ให้ร้อน จับเป็นเวลา ให้จุกให้แน่นอกบริโภคอาหารไม่ได้ นอนไม่หลับเป็นนิจ ให้ร่างกายซูบผอมแห้งไป ครั้นนานเข้า กระษัยแตกออกเป็นโลหิต น้ำเหลืองซึมไปในลำไส้ใหญ่ใส้น้อย ให้ใส้พองท้องใหญ่ ได้ชื่อว่า มานกระษัย รักษายากนานไปกระษัยแตกออกแก้ไม่ได้ (ให้แก้แต่ยังเป็นลิ้นกระบือ) 

11.กระษัยเต่า

เกิดเพื่อ (เพราะ) ดานเสมหะ ตั้งอยู่ที่ชายโครงซ้ายขวาเท่าฟองไข่ แล้วลามขึ้นมาจุกอยู่ยอดอก กระทำให้จับทุกเวลาน้ำขึ้นให้กายซูบผอมผิวเนื้อเหลืองดังขมิ้น ครั้นนานเข้าให้ตกโลหิตตกทวารหนักทวารเบา โทษทั้งนี้ คือ ตัวกระษัยแตกออก เป็นอสาทิยโรค


12.กระษัยดาน

ตั้งอยู่ยอดอกแข็งดังศิลา ถ้าตั้งลามลงไปถึงท้องน้อยเมื่อใด กระทำให้ร้องครางอยู่ทั้งกลางวันกลางคืน ถูกเย็นเข้าไม่ได้ ถูกร้อนเข้าค่อยสงบลงหน่อยแล้วกลับปวดอีก ทำให้จุกเสียดแน่นหน้าอก บริโภคอาหารไม่ได้ ถ้าลามลงถึงหัวเหน่าเมื่อใด เป็นอติสัยโรค รักษาไม่ได้ ถ้าจะรักษาก็ต้องรักษาแต่ยังไม่ลงถึงหัวเหน่า


13.กระษัยท้น

เกิดเพื่อ (เพราะ) บริโภคอาหารเมื่อท้องว่างอยู่ และยังไม่ได้บริโภคอาหารก็สงบเป็นปกติดี ครั้นบริโภคอาหารเข้าไปน้อยก็ดี มากก็ดี จึงกระทำให้ท้นขึ้นมายอดอก บางทีให้อาเจียน บางทีให้แน่นอก และชายโครง หายใจไม่ตลอดท้อง ดังจะสิ้นใจ แล้วกระทำให้แน่นขึ้นมา แต่ท้องน้อย ชักเอากระเพาะข้าวแขวนขึ้น


14.กระษัยเสียด

เกิดเพื่อ (เพราะ) ลมตะคริวขึ้นมาแต่แม่เท้า ขึ้นมาตามลำเส้นตะคริว ทำให้ปวด สะดุ้งทั้งตัว แล้วขึ้นเสียดเอาชายโครงทั้ง 2 ข้าง ให้ร้องดังจะขาดใจ บางทีให้ขบไปทั้วทั้งตัว ถ้าจะรักษาให้นวดเสียก่อน ให้คลายแล้ว จึงแต่งยาให้กิน


15.กระษัยเพลิง(ไฟ)

เกิดเพื่อ (เพราะ) เตโชธาตุ 3 ประการ คือ


สันตัปปัคคี

ชิรณัคคี

ปริทัยหัคคี

ทั้ง 3 นี้ กระทำให้จับแต่เวลาบ่าย ให้จักษุแดง ให้เจ็บอยู่ยอดอก มักเป็นฝีมะเร็งทรวง ให้บวมหน้า บวมท้อง ให้ตัวเย็น แต่ร้อนในดังไฟเผา ตั้งเหนือสะดือ 3 นิ้ว ให้จุกอกให้แดกอก ให้เสียดสีข้างจะไหวตัวก็ไม่ได้ จับเส้นปัตคาต ปวดขบเป็นกำลัง บริโภคอาหารเข้าไปให้ผะอืดผะอม ให้ท้องขึ้น และไม่ผายลม ให้แน่น บริโภคอาหารไม่ได้ ให้เหงื่อตกทุกเส้นขน


16.กระษัยน้ำ

เกิดเพื่อ (เพราะ) โลหิต น้ำเหลือง เสมหะ ประการใดประการหนึ่ง ถ้าเป็นทั้ง 3 เรียกว่า กระษัยโลหิต (กระษัยเลือด) ถ้าสตรีตั้งใต้สะดือ 3 นิ้ว ถ้าบุรุษตั้งเหนือสะดือ 3 นิ้ว (ถ้าสตรีแจ้งในคัมภีร์มหาโชตรัตน์ ส่วนบุรุษแจ้งในคัมภีร์มุจฉาปักขันทิกา) กระษัยนี้ถ้าบังเกิดในผู้ใด ทำให้ปวดขบถึงยอดอก ดังจะขาดใจ แล้วตั้งลามขึ้นไปดังฝีมะเร็งทรวง และฝีปลวก


17.กระษัยเชือก

ตั้งขึ้นแต่หัวเหน่า หยั่งถึงหัวใจ แข็งดุจเหล็ก ให้แน่นชายโครงเป็นกำลัง ให้จุกเสียด ให้ขัดอุจจาระปัสสาวะ และให้ปัสสาวะดำเป็นมัน กระทำให้บริโภคอาหารไม่ได้ ให้อิ่มไปด้วยลม ให้จับเป็นเวลา บางทีให้ร้อน บางทีให้หนาว นวดแล้วจึงคลายหน่อยหนึ่ง ถ้าไม่ได้นวดให้ตึง

จะย่อตัวก็ไม่ได้ ดุจบุคคลเอาเหล็กมาเสียบไว้ ให้เวทนาเป็นกำลัง


18.กระษัยลม

เกิดเพื่อ (เพราะ) ลม 6 จำพวก


เกิดเพื่อ (เพราะ) ลมในลำไส้ เป็นดานกลมเข้าประมาณเท่าลูกในตาล เมื่อนานเข้าให้แข็ง ไปทั้ง 2 ข้าง ให้จุกเสียดแน่นในอก

เกิดเพื่อ (เพราะ) ลมนอกลำไส้ ให้แล่นเข้าในกระดูก ให้เมื่อยขบในกระดูก ดังจะแยกจากกัน

เกิดเพื่อ (เพราะ) ลมทั่วกาย ลมอันนั้นประมวลกันเข้า ตั้งอยู่เหนือสะดือเท่าลูกมะเดื่อ ให้จุกเสียดแน่นอกเป็นกำลัง

เกิดเพราะลมอุทรวาต เกิดแต่ปลายเท้าขึ้นมาถึงศีรษะ เมื่อจะเป็นแก่บุคคล ลมนั้นพัดอยู่เพียงยอดอก แล้วแล่นเข้าลำไส้ให้เป็นเม็ดในลำไส้ มักให้เป็นฝีรวงผึ้ง เจ็บปวดพ้นประมาณ

เกิดเพื่อ (เพราะ) ลมที่พัดจากกระหม่อมถึงปลายเท้า หากพัดไม่ตลอด ตันอยู่แค่ไหนให้เจ็บอยู่แค่นั้น

เกิดเพื่อ (เพราะ) ลมที่ตั้งอยู่ 4 แห่ง คือ

(1) ใต้สะดือ,               1 แห่ง

(2) เหนือสะดือ            1 แห่ง

(3) ริมสะดือซ้าย          1 แห่ง

(4) ริมสะดือขวา          1 แห่ง

อาการของกระษัยประเภทที่ 2 เกิดแต่กองธาตุสมุฎฐาน มี 8 จำพวก

อาการของกระษัยประเภทที่ 2 เกิดแต่กองธาตุสมุฎฐาน มี 8 จำพวก

กระษัยกล่อนดิน

เมื่อจะบังเกิดตั้งเป็นก้อนขึ้นที่หัวเหน่าซ้ายหรือขวา แล้วเลื่อนลงมา อัณฑะกำเริบฟกขึ้นมาจับต้องเข้าไม่ได้ จะกระทบผ้านุ่งก็ไม่ได้ ให้เจ็บเสียวตลอดถึงหัวใจ ให้เสียวตามราวข้าง และทรวงอก ให้ปวดขบในทรวงอกเป็นกำลัง ให้เจ็บทั่วสรรพางค์กาย

กระษัยกล่อนน้ำ

เกิดเพื่อ (เพราะ) กองอาโปธาตุ คือ โลหิต น้ำเหลือง เสลด อย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าเกิดทั้ง 3 เรียกว่า กระษัยโลหิต ถ้าสตรีเกิดใต้สะดือ 3 นิ้ว ถ้าบุรุษตั้งเหนือสะดือ 3 นิ้ว ให้ท้องใหญ่ดุจกันกับสตรี (เหมือนกระษัยน้ำที่ได้กล่าวมาแล้ว)

กระษัยกล่อนลม

เมื่อกำเริบนั้น ข้างขึ้นข้างแรมเหมือนกัน เวลาเช้าคลายสักหน่อยดุจคนดี เวลาบ่ายจึงกระทำให้จุกขึ้นมา แล้วกัด ขบ ตอดในทรวงอก ให้ร้อนในอก ให้ตัวเย็นยิ่งนัก แล้วให้ปวดขบเป็นกำลัง ถ้าบริโภคอาหารสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นสิ่งอันร้อนจึงจะคลายสักหน่อย

กระษัยกล่อนไฟ

กล่าวคือเพลิงธาตุทั้ง 4 ไม่ได้เป็นปกติ จึงให้วิปริตแปรไปต่างๆ บางทีให้ตั้งในนาภี และทรวงอก กระทำให้แน่นหน้าอก บริโภคอาหารไม่ได้ บางทีให้จักษุปวดดังจะขาดใจตาย บางที่ให้เสโท (เหงื่อ) ตกทุกเส้นขน ทำให้จักษุแดง ให้รุมเจ็บอยู่ที่ยอดอก ให้จับแต่เวลาบ่าย ให้บวมหน้า บวมหลัง บวมเท้า ถ้าบวมทั้ง 3 อย่าง รักษาไม่ได้

กระษัยกล่อนเถา

เกิดเพื่อ (เพราะ) ลมสัณฑะฆาต และลมปัตคาต แล่นเข้าในลำไส้ให้เส้นพองแข็งขวางอยู่หัวเหน่ามาบรรจบเกลียวข้าง ถ้าผู้หญิงเป็นข้างซ้าย ถ้าผู้ชายเป็นข้างขวา เสียดตามชายโครงถึงยอดอก ปวดขบในอก เสียวตลอดถึงลำคอ บางทีอาเจียนแต่น้ำลาย ถ้าอาเจียนออกมาอาการ

ปวดทุเลา ทำให้อาการดุจฝีปลวก ฝีมะเร็งทรวง ผิดกันที่น้ำมูตร ถ้าเป็นกระษัย น้ำมูตรแดงติดจะเหลือง เอาถ้วยรองไว้ดู ถ้ามันนอนก้น สีดังน้ำปูนกินหมาก ถ้าฝีสีดำ โรคนี้เป็นเพราะกินของคาวหวานนัก เป็นๆ หายๆ ประมาณ 12-13 ปี แล้วกลายเป็นมานกระษัย รักษาไม่ได้ ให้แก้แต่ยังอ่อน กระษัยน้ำ กระษัยลม กระษัยไฟ เหมือนที่กล่าวมา

กระษัยน้ำ เหมือนที่กล่าวมาแล้ว

กระษัยลม เหมือนที่กล่าวมาแล้ว

กระษัยไฟ เหมือนที่กล่าวมาแล้ว

ยาที่ใช้ในการรักษากระษัยทั้งหมด

สมอดีงู                  หนัก  20  บาท

สมอไทย                หนัก  20  บาท

แสมทะเล               หนัก  10  บาท

แสมสาร                 หนัก  10  บาท

ใบมะกา                 หนัก  10  บาท

ใบมะดัน                 หนัก  10  บาท

ขี้เหล็ก                  หนัก  10  บาท

เกลือ                    หนัก  10  บาท

บอระเพ็ด               หนัก  10  บาท

รากช้าพลู              หนัก  10  บาท

แก่นลั่นทม             หนัก   5  บาท

รากเจตมูลเพลิง       หนัก  5  บาท

ดีปลี                    หนัก   5  บาท

กะเพรา                 หนัก   5  บาท

ดินประสิว               หนัก   5  บาท

ยาดำ                    หนัก   5  บาท

สะค้าน                  หนัก   5  บาท

ส้มป่อย                 หนัก   5  บาท

เถาวัลย์เปรียง          หนัก   5  บาท

ใบมะขาม               หนัก   5  บาท

ดอกคำฝอย            หนัก   5  บาท

เทียนทั้ง 9             หนัก   2  บาท

ฝักราชพฤกษ์                  3 ฝัก


วิธีปรุง  นำตัวยาทั้งหมดมาต้มรวมกันวิธีรับประทาน  วันละ 3 ครั้ง  ก่อนอาหาร เช้า-กลางวัน-เย็น (เพิ่มลดได้ตามธาตุหนัก-เบา) ครั้งละ 2 – 3 ช้อนโต๊ะ


-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คัมภีร์มัญชุสาระวิเชียร จะกล่าวถึงลม ที่ทำให้เกิดโรค และมีอาการต่างๆ ตามลักษณะของลม 10 ประการ คือ


ลมเป็นก้อน เป็นดาน ตั้งอยู่เบื้องขวา มีนาภีเป็นที่สุด ชื่อว่า ทักษณะคุละมะ

ลมเป็นก้อนเป็นดาน ตั้งอยู่เบื้องซ้าย มีนาภีเป็นที่สุด ชื่อว่า วามะกะคุละมะ

ลมเป็นก้อนเป็นดาน ตั้งอยู่เบื้องต่ำแห่งนาภี ชื่อว่า โลหะคุละมะ

ลมเป็นก้อนเป็นดาน ตั้งอยู่เบื้องบนแห่งนาภี ชื่อว่า กูปะคุละมะ

ลมเป็นก้อนเป็นดาน ตั้งอยู่ในอุระประเทศ ชื่อว่า เสลศามะกะคุละมะ หรือ เสลศะมะกะกุละมะ

ลมเป็นก้อนเป็นดาน ตั้งอยู่ในลำไส้ มีนาภีเป็นเบื้องต่ำ มีเสมหะกระจายออกเป็นอันมาก ชื่อว่า กฤตคุละมะ

ลมเป็นก้อนเป็นดาน ตั้งอยู่ในอุระ มีดีซึมอยู่เป็นอันมาก ชื่อว่า ปิตตะคุละมะ

ลมเป็นก้อนเป็นดาน ตั้งอยู่หน้าขา มีโลหิตแตกออกมา ชื่อว่า รัตตะคุละมะ

ลมเป็นก้อนเป็นดาน ตั้งแอบก้อนลม วามะกะคุละมะอยู่ ชื่อว่า ทัษฐะคุละมะ

ลมก้อนดาน อันชื่อว่า ประวาตะคุละมะ 

ตั้งแอบก้อนลม ทักษณะคุละมะ อยู่ ลมก้อน ดาน เถา อันใด อันตั้งอยู่ในอก และตั้งอยู่บนยอดไส้ เกี่ยวผ่านลงไปอยู่ในนาภี ตั้งอยู่ได้เดือนหนึ่ง แพทย์อย่าพึงรักษาเลย อันว่าลมก้อน ดาน เถา อันอื่น นอกจากลม 10 ประการนี้แพทย์พอจะเยียวยารักษาหาย


ลมปิตตะคุละมะ นั้น แพทย์ไม่พึงรักษา หากจะรักษา ก็พึงให้เผาเหล็กให้แดง เอาทาบลงบนยา เพื่อจะให้ทีเผานั้นพองขึ้น ทำทั้งนี้ เพื่อมิให้พยาธิ จำเริญขึ้นมาได้


ยาที่จะนาบ นั้นมีดังนี้


ขมิ้นอ้อย

ว่านน้ำ

เปราะหอม

เมล็ดพันธุ์ผักกาด

เมล็ดงาดำ

เทียนดำ

เอาสิ่งละ 6 ส่วน ตำให้แหลก เคล้าด้วยน้ำมันสุกร แล้ววางลงตรงที่เจ็บนั้น จึงเอาเหล็กแดงนาบลง แก้ลมก้อนดานเถานั้นหาย

ยาชื่อ ขิปะปะกะโอสถ

รากสะค้าน

เกลือสินเธาว์

เปลือกมะขามป้อม

ขิงแห้ง

เอาสิ่งละ 4 ส่วน บดเป็นผงละลายน้ำร้อนกิน แก้ลมเสียดแทง และแก้ลมคุละมะ ทั้งปวง หาย

โรคมูตร 20 ประการ ( โรคปัสสาวะ)

น้ำปัสสาวะเป็นโลหิต

น้ำปัสสาวะเหลืองดังขมิ้น

น้ำปัสสาวะดังน้ำนมโค

น้ำปัสสาวะดังน้ำข้าวเช็ด

น้ำปัสสาวะดังใบไม้เน่า

น้ำปัสสาวะเป็นดังน้ำหนอง

น้ำปัสสาวะไหลซึมไป

น้ำปัสสาวะร้อน

น้ำปัสสาวะออกมาขัด

น้ำปัสาสาวะดังน้ำล้างเนื้อ

น้ำปัสสาวะขัดเพราะดีให้โทษ

น้ำปัสสาวะขัดเกิดแต่ความเพียรกล้า

น้ำปัสสาวะขัดเกิดแต่ไข้ตรีโทษ

น้ำปัสสาวะขัดเพราะโรคปะระเมหะให้โทษ

น้ำปัสสาวะขัดเพราะเป็นนิ่ว

ไปปัสสาวะ วันละ 7 เวลา

ไปปัสสาวะ วันละ 10 เวลา

ไปปัสสาวะบ่อยๆ

น้ำปัสสาวะขัด เพราะเสมหะให้โทษ

น้ำปัสสาวะขัด เพราะลมให้โทษ

ยาใน คัมภีร์มัญชุสาระวิเชียร

ยาชื่อ อัพยาธิคุณ สมออัพยา

สมออัพยา (สมอ 6 เหลี่ยม หรือสมอไทย) ผลมะขามป้อม แฝกหอม แห้วหมู เอาส่วนเสมอภาค ต้มแล้วตัดน้ำผึ้งลง กินแก้มูตรพิการหาย

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คัมภีร์ชวดาร กล่าวถึง ลมที่บังเกิดโทษแต่มนุษย์ทั้งหลายจะเกิดสรรพโรคต่างๆ ก็อาศัยโลหิต และลม บังเกิดโทษให้ถึงตายเป็นอันมากนั้น เพราะแพทย์ไม่ได้กำหนดรู้ อุปมาเหมือนนายเรืออันประมาทในท้องมหาสมุทร ลมพัดเรือแตกอับปางก็เป็นเหยื่อแก่มัจฉา เป็นอันมาก ลมที่ให้โทษแก่มนุษย์ คือ


ลมอุทธังคมาวาตา พัดขึ้นเบื้องบน ตั้งแต่สะดือ ถึงศีรษะ

ลมอโธคมาวาตา พัดลงเบื้องต่ำ ตั้งแต่ใต้สะดือ ถึงปลายเท้า

ถ้าหากลมทั้ง 2 ระคนกันเข้าเมื่อใด โลหิตนั้นร้อนประดุจกันกับไฟ อันเกิดได้วันละ 100 ละ 1,000 หน อาการ 32 ก็พิกล พรากจากที่อยู่เตโชธาตุก็ไม่ปกติ เหตุที่ลมทั้ง 2 ระคนกันได้ ให้โทษแก่มนุษย์ทั้งหลาย ก็เพราะมนุษย์ทั้งหายได้บริโภคอาหารไม่ได้เสมอตามปกติ คือ บางจำพวก มากกว่าอิ่ม คือ กินมากไป บางจำพวก ดิบ เน่า บูด หยาบ น้อยยิ่งนัก บางจำพวกล่วงผิดเวลา อยากเนื้อผู้อื่นยิ่งนัก อาหาร 8 จำพวกนี้ เป็นอาหารให้โทษ ใช่แต่เท่านั้น บุคคลบางจำพวกถูกร้อนมาก และถูกเย็นมาก เพราะเหตุดังกล่าวนี้ ลมอโธคมาวาตา จึงพัดขึ้นไปหาลมอุทธังคมาวาตา บางทีลมอุทธังคมาวาตาจึงพัดให้โลหิตเป็นฟอง อาการ 32 จึงเคลื่อนจากที่อยู่


ลมเกิดขึ้นในทิศเบื้องต่ำ คือ ลมอัมพฤกษ์ และลมอัมพาต ลมทั้ง  2 นี้ บังเกิดแต่ปลายแม่เท้าไปตราบเท่าเบื้องบน ทำให้หวาดหวั่นไหวไปทั่วทั้ง 6 สรีระกายย่อมถึงแก่พินาศเป็นอันมาก ลมอัมพฤกษ์และลมอัมพาตทั้ง 2 นี้ เป็นที่ตั้งแห่งฐานลมทั้งหลาย อันบังเกิดได้วันละ 100 และ 1,000 ครั้ง


ถ้าลมทั้ง 2 ระคนกันแล้วเมื่อใด รักษาเยียวยายากนัก เพราะอาศัยลมอันหนึ่งชื่อ ”หทัยวาตะ” เกิดขึ้นในน้ำเลี้ยงหัวใจบุคคลใดจะตาย ลมหทัยวาตะ ก็เกิดขึ้นในขณะนั้น


ลมมีพิษมาก 6 จำพวก

ดังนี้:-


ลมกาฬสิงคลี

จับให้หน้าเขียว ขอบตาเขียว บางทีจับให้ใจสั่น บางทีให้ถอนหายใจฮึดฮือ บางทีดิ้นดุจตีปลา ให้ผุดเป็นวงดำ เป็นวงเขียว วงเหลือง เท่าใบพุทรา เท่าแว่นน้ำอ้อยงบ กำหนด 3 วัน

ลมชิวหาสดมภ์

เมื่อแรกให้หาวเรอ และให้เหียน ขากรรไกรแข็ง อ้าขบไม่ลง ให้แน่นิ่งไป ไม่รู้สึกตัว ปลุกไม่ตื่น กำหนด 3 วันถึง 7 วัน

ลมมหาสดมภ์

เมื่อจับ ให้หาวนอนเป็นกำลัง ให้หวาดหวั่นไหวอยู่แต่ใจใจ ให้นอนแน่นิ่งไป ไม่รู้สึกกายเลย

ลมทักษิณโรธ

เป็นไข้อันไดๆ อยู่ก่อนแล้วจับเท้าเย็นมือเย็น ตามัว ห้ามไม่ให้วางยาผาย ดิ้นรนหยุดอยู่ไม่ได้ เจรจาไม่ได้ ลิ้นกระด้างคางแข็ง แก้ให้จงดี ( ลมในกองไข้)

ลมตติยาวิโรธ

เมื่อจับให้มือเท้าเย็น เป็นลูกกลิ้งอยู่ในท้อง ให้จุกท้องเหมือนสัตว์ตอดสัตว์กัด บางทีปวดตั้งแต่แม่เท้าขึ้นมาถึงหัวใจ นิ่งแน่ไปดุจดังถูกพิษงูเห่า

ลมอีงุ้มอีแอ่น

เมื่อล้มไข้เหมือนสันนิบาต เมื่อจับอีงุ้มงอไปข้างหน้า อีแอ่นงอไปข้างหลัง ถ้าลั่นเสียงดังเผาะเมื่อใด ตายเมื่อนั้น

คัมภีร์ชวดาร กล่าวถึง ลมที่บังเกิดโทษแต่มนุษย์ทั้งหลายจะเกิดสรรพโรคต่างๆ ก็อาศัยโลหิต และลม บังเกิดโทษให้ถึงตายเป็นอันมากนั้น เพราะแพทย์ไม่ได้กำหนดรู้ อุปมาเหมือนนายเรืออันประมาทในท้องมหาสมุทร ลมพัดเรือแตกอับปางก็เป็นเหยื่อแก่มัจฉา เป็นอันมาก ลมที่ให้โทษแก่มนุษย์ คือ


ลมอุทธังคมาวาตา พัดขึ้นเบื้องบน ตั้งแต่สะดือ ถึงศีรษะ

ลมอโธคมาวาตา พัดลงเบื้องต่ำ ตั้งแต่ใต้สะดือ ถึงปลายเท้า

ถ้าหากลมทั้ง 2 ระคนกันเข้าเมื่อใด โลหิตนั้นร้อนประดุจกันกับไฟ อันเกิดได้วันละ 100 ละ 1,000 หน อาการ 32 ก็พิกล พรากจากที่อยู่เตโชธาตุก็ไม่ปกติ เหตุที่ลมทั้ง 2 ระคนกันได้ ให้โทษแก่มนุษย์ทั้งหลาย ก็เพราะมนุษย์ทั้งหายได้บริโภคอาหารไม่ได้เสมอตามปกติ คือ บางจำพวก มากกว่าอิ่ม คือ กินมากไป บางจำพวก ดิบ เน่า บูด หยาบ น้อยยิ่งนัก บางจำพวกล่วงผิดเวลา อยากเนื้อผู้อื่นยิ่งนัก อาหาร 8 จำพวกนี้ เป็นอาหารให้โทษ ใช่แต่เท่านั้น บุคคลบางจำพวกถูกร้อนมาก และถูกเย็นมาก เพราะเหตุดังกล่าวนี้ ลมอโธคมาวาตา จึงพัดขึ้นไปหาลมอุทธังคมาวาตา บางทีลมอุทธังคมาวาตาจึงพัดให้โลหิตเป็นฟอง อาการ 32 จึงเคลื่อนจากที่อยู่


ลมเกิดขึ้นในทิศเบื้องต่ำ คือ ลมอัมพฤกษ์ และลมอัมพาต ลมทั้ง  2 นี้ บังเกิดแต่ปลายแม่เท้าไปตราบเท่าเบื้องบน ทำให้หวาดหวั่นไหวไปทั่วทั้ง 6 สรีระกายย่อมถึงแก่พินาศเป็นอันมาก ลมอัมพฤกษ์และลมอัมพาตทั้ง 2 นี้ เป็นที่ตั้งแห่งฐานลมทั้งหลาย อันบังเกิดได้วันละ 100 และ 1,000 ครั้ง


ถ้าลมทั้ง 2 ระคนกันแล้วเมื่อใด รักษาเยียวยายากนัก เพราะอาศัยลมอันหนึ่งชื่อ ”หทัยวาตะ” เกิดขึ้นในน้ำเลี้ยงหัวใจบุคคลใดจะตาย ลมหทัยวาตะ ก็เกิดขึ้นในขณะนั้น


ลมมีพิษมาก 6 จำพวก

ดังนี้:-


ลมกาฬสิงคลี

จับให้หน้าเขียว ขอบตาเขียว บางทีจับให้ใจสั่น บางทีให้ถอนหายใจฮึดฮือ บางทีดิ้นดุจตีปลา ให้ผุดเป็นวงดำ เป็นวงเขียว วงเหลือง เท่าใบพุทรา เท่าแว่นน้ำอ้อยงบ กำหนด 3 วัน

ลมชิวหาสดมภ์

เมื่อแรกให้หาวเรอ และให้เหียน ขากรรไกรแข็ง อ้าขบไม่ลง ให้แน่นิ่งไป ไม่รู้สึกตัว ปลุกไม่ตื่น กำหนด 3 วันถึง 7 วัน

ลมมหาสดมภ์

เมื่อจับ ให้หาวนอนเป็นกำลัง ให้หวาดหวั่นไหวอยู่แต่ใจใจ ให้นอนแน่นิ่งไป ไม่รู้สึกกายเลย

ลมทักษิณโรธ

เป็นไข้อันไดๆ อยู่ก่อนแล้วจับเท้าเย็นมือเย็น ตามัว ห้ามไม่ให้วางยาผาย ดิ้นรนหยุดอยู่ไม่ได้ เจรจาไม่ได้ ลิ้นกระด้างคางแข็ง แก้ให้จงดี ( ลมในกองไข้)

ลมตติยาวิโรธ

เมื่อจับให้มือเท้าเย็น เป็นลูกกลิ้งอยู่ในท้อง ให้จุกท้องเหมือนสัตว์ตอดสัตว์กัด บางทีปวดตั้งแต่แม่เท้าขึ้นมาถึงหัวใจ นิ่งแน่ไปดุจดังถูกพิษงูเห่า

ลมอีงุ้มอีแอ่น

เมื่อล้มไข้เหมือนสันนิบาต เมื่อจับอีงุ้มงอไปข้างหน้า อีแอ่นงอไปข้างหลัง ถ้าลั่นเสียงดังเผาะเมื่อใด ตายเมื่อนั้น

คัมภีร์ชวดาร กล่าวถึง ลมที่บังเกิดโทษแต่มนุษย์ทั้งหลายจะเกิดสรรพโรคต่างๆ ก็อาศัยโลหิต และลม บังเกิดโทษให้ถึงตายเป็นอันมากนั้น เพราะแพทย์ไม่ได้กำหนดรู้ อุปมาเหมือนนายเรืออันประมาทในท้องมหาสมุทร ลมพัดเรือแตกอับปางก็เป็นเหยื่อแก่มัจฉา เป็นอันมาก ลมที่ให้โทษแก่มนุษย์ คือ


ลมอุทธังคมาวาตา พัดขึ้นเบื้องบน ตั้งแต่สะดือ ถึงศีรษะ

ลมอโธคมาวาตา พัดลงเบื้องต่ำ ตั้งแต่ใต้สะดือ ถึงปลายเท้า

ถ้าหากลมทั้ง 2 ระคนกันเข้าเมื่อใด โลหิตนั้นร้อนประดุจกันกับไฟ อันเกิดได้วันละ 100 ละ 1,000 หน อาการ 32 ก็พิกล พรากจากที่อยู่เตโชธาตุก็ไม่ปกติ เหตุที่ลมทั้ง 2 ระคนกันได้ ให้โทษแก่มนุษย์ทั้งหลาย ก็เพราะมนุษย์ทั้งหายได้บริโภคอาหารไม่ได้เสมอตามปกติ คือ บางจำพวก มากกว่าอิ่ม คือ กินมากไป บางจำพวก ดิบ เน่า บูด หยาบ น้อยยิ่งนัก บางจำพวกล่วงผิดเวลา อยากเนื้อผู้อื่นยิ่งนัก อาหาร 8 จำพวกนี้ เป็นอาหารให้โทษ ใช่แต่เท่านั้น บุคคลบางจำพวกถูกร้อนมาก และถูกเย็นมาก เพราะเหตุดังกล่าวนี้ ลมอโธคมาวาตา จึงพัดขึ้นไปหาลมอุทธังคมาวาตา บางทีลมอุทธังคมาวาตาจึงพัดให้โลหิตเป็นฟอง อาการ 32 จึงเคลื่อนจากที่อยู่


ลมเกิดขึ้นในทิศเบื้องต่ำ คือ ลมอัมพฤกษ์ และลมอัมพาต ลมทั้ง  2 นี้ บังเกิดแต่ปลายแม่เท้าไปตราบเท่าเบื้องบน ทำให้หวาดหวั่นไหวไปทั่วทั้ง 6 สรีระกายย่อมถึงแก่พินาศเป็นอันมาก ลมอัมพฤกษ์และลมอัมพาตทั้ง 2 นี้ เป็นที่ตั้งแห่งฐานลมทั้งหลาย อันบังเกิดได้วันละ 100 และ 1,000 ครั้ง


ถ้าลมทั้ง 2 ระคนกันแล้วเมื่อใด รักษาเยียวยายากนัก เพราะอาศัยลมอันหนึ่งชื่อ ”หทัยวาตะ” เกิดขึ้นในน้ำเลี้ยงหัวใจบุคคลใดจะตาย ลมหทัยวาตะ ก็เกิดขึ้นในขณะนั้น


ลมมีพิษ อีก 6 จำพวก

ลมอินทรธนู 

เมื่อจับไข้เหมือนดังรากสาด เป็นวงล้อม สะดือดำ สะดือแดง สะดือเขียว สะดือเหลือง เท่าวงน้ำอ้อยงบ แต่ชายโครง ตลอดจนหน้าผาก พิษนั้นอื้อคะนึงอยู่แต่ในใจดังผีเข้าอยู่ ถ้าผู้หญิงเป็นซ้าย ชายเป็นขวา อาการตัด ( ลมในกองไข้)

ลมกุมภัณฑยักษ์

ถ้าลัมไข้ดุจดังสันนิบาต เมื่อจับให้ชัก มือกำ ชักเท้างอ มิได้สติสมปฤดี เรียกมิรู้สึกตัวเลย

กำหนด 11 วัน (ลมในกองไข้)

ลมอัศมุขี

เป็นได้ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก ให้ดิ้นร้องไป แล้วชักแน่นิ่งไป ไม่สมปฤดี

ลมราทยักษ์

เมื่อล้มไข้ลงดุจดังสันนิบาต เมื่อจับให้มือกำชักเท้ากำ ลิ้นกระด้างคางแข็ง กำหนด 11 วัน (ลมในกองไข้)

ลมบาดทะจิต

เมื่อล้มไข้ลงดุจดังสันนิบาต แรกจับให้ละเมอเพ้อพก ว่านั้นว่านี่ ทำอาการ ดุจปิศาจเข้าสิงอยู่ บางทีว่าบ้าสันนิบาต เหตุเพราะ จิตระส่ำระสาย กำหนด 11 วัน

ลมพุทธยักษ์

จับชักระสับกระส่าย ให้ขบฟันเหลือกตา มือกำเท้างอ ปากเบี้ยว ตาแหก แยกแข้งแยกขา ไม่มีสติสมปฤดี

ลม 6 จำพวกนี้ เยียวยายากนัก เป็นปัจฉิมที่สุดโรค

ให้ตรวจดูทางทวารหนัก ทวารเบา ถ้ายังอุ่นอยู่ ให้แก้ต่อไป อนึ่ง เอานิ้วมือกดลงแล้วยกขึ้นดู หาโลหิตไม่ได้ รอยนิ้วกดแล้วยกขึ้นไป เป็นรอยเขียวซีด อาการหนักมาก ( อาการตัด)

อนึ่ง ในคัมภีร์มหาโชตรัต และคัมภีร์มหาชัยรัต กล่าวไว้ว่า โลหิตให้โทษแก่สตรีคลอดบุตร และชายต้องบาดแผลโลหิตตีขึ้นให้ถึงแก่กรรมตายเป็นอันมาก โลหิตทำพิษตีขึ้น ดังนี้ ” ในคัมภีร์ชวดาร” ว่าแต่กำลังโลหิต โลหิตก็ไม่ให้โทษ อนึ่งให้พิจารณาว่า ลมเกิด ณ ที่ใด ถ้าเกิดในเส้น ในเนื้อ และโลหิต กระดูก ผิวหนัง และหัวใจ จึงพิจารณาลมนั้นก่อน แล้วจึงพิจารณายาที่จะรักษาต่อไป และให้ประกอบยารักษาตามอาการนั้นๆ

ลมพิเศษ (ลมทั่วไป)

ลมปถวีกำเริบ

ลมพัดอาโปธาตุเป็นฟอง สำแดงโทษ บวมทุกสถาน

ลมพัดในลำไส้ 

ให้เป็นลูกกลิ้งอยู่ในท้อง ให้จุกอกเสียดแทงตามชายโครงทั่วสรรพางค์กาย และเสียดหัวใจ (กลิ้งขึ้นกลิ้งลง)

ลมเข้าในลำไส้ใหญ่ และลำไส้น้อย 

มักชักให้มือกำ ชักเท้า ตัวแข็งงอ จะบีบเข้าก็ไม่ได้ จับสิ่งอันใดก็ไม่ได้ สมมุตว่า ลมตะคริว

ลมบาทาทึบ 

ทั้งสลบทั้งลง ทั้งอาเจียน ไม่รู้ว่าสันนิบาตสองคลอง ให้มือเขียว หน้าเขียว ให้ชักไม่รู้ว่าป่วง ให้ลง กำหนด 3 วัน

ลมพานไส้ 

อาการให้อาเจียน ให้จุกอก ถ้าเป็นถึง 7 เดือน มักเป็นตัวเสียด อยู่ซี่โครงข้างซ้าย ให้ผอมเหลือง พอใจอยากของดิบคาว ครั้นถึง 3 ปี จะตาย

ลมสูบพิษในลำไส้ 

ให้เวียนหัว อาเจียน จุกอก ให้ปากหวาน และเปรี้ยว ถ้าเป็นแก่บุคคลผู้ใด นานเข้ากลายเป็นตัว เข้าเสียดชายโครงข้างซ้าย ครั้นนานหนักเข้าให้ผอมเหลือง

ลมตุลาราก 

มักเกิดแต่คอหอย ให้เหม็นคาวคอ ถ่มน้ำลายอยู่บ่อยๆ จะหายใจให้ขัดอก ถ้าเกิดแก่บุคคลผู้ใด ได้ 5 เดือน เสียตา จึงหาย

ลมกระษัยจุกอก 

มักกลายเป็นบิด และโลหิต และเสมหะ

ลมกำเดา 

ให้วิงเวียน จักษุลาย จักษุมืด จักษุฝ้า และขาว ให้ศีรษะหนักซุนไป และเจ็บศีรษะ เจ็บตา โทษลม ระคนกำเดา

ลมผูกธาตุให้เป็นพรรดึก 

ครั้นนานไป ก็กลายเป็นเสมหะกลัดเข้าให้ผอมแห้ง กายเหลือง ครั้นต่อไปนานก็กลายเป็นหอบ ไอ กินนมไม่ได้ อาโปธาตุกำเริบ ทำให้บวม แพทย์ไม่รู้ว่าเป็นริดสีดวง

ยารักษาลมที่สำคัญ (ยาแก้ลม)

ยาจิตรารมณ์

ยากล่อมอารมณ์

ยาวาตาพินาศ

ยาเขียวประทานพิษ

ยาชุมนุมวาโย

ยามหาสมมิทธิ์ใหญ่

ยาหอมสรรพคุณ

ยาสมมิทธิ์น้อย

ยานัตถุ์ธนูกากะ

ยาประสะการบูร

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนวดไทยบำบัด(นวดรักษา) 14โรค เอกสารจัดทำเพื่อผู้พิการทางสายตาเพื่อการอ่านโดยใช้แอพพลิเคชั่นเสียง

การนวดพื้นฐาน 95ท่า หนังสือผ่านแอพพิเคชั่นเสียงสำหรับผู้พิการทางสายตา

ความพร้อมกับการสอบปฏิบัตินวดไทยสิบสี่อาการ กลุ่มอาการที่สี่